ชวนพ่อแม่ยุคใหม่รู้ทันโรค
“ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในเด็ก”
สภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงมลพิษที่มากขึ้นในโลกปัจจุบัน ใกล้ตัวเราขึ้นทุกขณะ นำมาสู่โรคภัยไข้เจ็บที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับร่างกายของเราที่อ่อนแอลงไปเรื่อยๆทุกวัน โดยเฉพาะโรคยอดฮิตของคนในมมืองค่อนข้างแออัดอย่างเมืองกรุง โรคหนึ่งที่หลายคนต้องเผชิญ รวมไปถึง “โรคภูมิแพ้” ด้วยเช่นกัน ซึ่งแต่ละคนมีอาการภูมิแพ้แตกต่างกันไป และสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเด็กที่มีภูมิต้านทานน้อยกว่าจะเกิดกลุ่มอาการโรคภูมิแพ้และอาการภูมิแพ้มากกว่า
พ.อ.หญิง พญ.ปาจรีย์ ฑิตธิวงษ์ กุมารแพทย์โรคผิวหนัง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เปิดเผยว่า นอกจากวัยทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการป่วยด้วยอาการภูมิแพ้แล้ว ในเด็กก็ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังสำหรับกลุ่มอาการโรคภูมิแพ้ และอาการภูมิแพ้ที่ปรากฏในเด็กค่อนข้างมากนั่นก็คือ “โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง” ซึ่งมักแสดงอาการทางผิวหนังที่สามารถเห็นได้ชัดเจน โรคนี้สามารถพบได้ในเด็กตั้งแต่ก่อนครบขวบปีไปจนถึงวัยผู้ใหญ่แต่พบมากที่สุดในเด็กวัยหกเดือนถึงห้าขวบ ซึ่งสาเหตุหลักสัมพันธ์กับการถ่ายทอดพันธุกรรมภูมิแพ้มาจากพ่อแม่ ทำให้ผิวหนังขาดสารให้ความชุ่มชื้นธรรมชาติ ผิวจะแห้ง แดงอักเสบ เป็นขุยสาก ไวเกินต่อสารกระตุ้นภูมิแพ้
สำหรับอาการของโรคที่จะเห็นได้ชัดเจนนั่นคืออาการผิวหนังแห้งคันอักเสบเรื้อรัง เป็นๆหายๆ ในทารกและเด็กเล็กจะมีอาการค่อนข้างรุนแรง ทั้งคัน ทั้งผิวแห้งเป็นขุยสาก มักพบผื่นแดงที่บริเวณใบหน้าโดยเฉพาะ 2 ข้างแก้ม ที่ลำตัว แขน ในบางรายอาจมีปัญหาในการนอนหลับเพราะคันมาก
ส่วนในเด็กโตจะพบอาการแสดงบริเวณข้อพับต่างๆ และยังคงมีอาการคัน หรืออาจจะพบอาการของโรคได้บริเวณรอบดวงตา รอบคอ รอบปาก หรือหลังใบหู มีความเป็นไปได้ที่อาการของโรคจะต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่ หากต่อเนื่องถึงวัยผู้ใหญ่แล้วจะมีอาการผิวแห้งเป็นขุย พร้อมอาการอักเสบ และอาจจะส่งผลให้เกิดการแพ้จากการสัมผัสสารต่างๆได้ด้วย โดยในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีการข้างเคียงอื่นๆตามมา เช่น หอบหืด ภูมิแพ้เยื่อบุจมูก ภูมิแพ้เยื่อบุตา เป็นต้น
สำหรับการรักษาอาการของโรคนี้ ต้องดูแลผิวหนังให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลาด้วยการทาสารให้ความชุ่มชื้นโดยแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสี ไม่มีน้ำหอม ไม่ใส่สารกันบูด เพื่อลดการระคายเคืองและลดความเสี่ยงต่อการแพ้การอาบน้ำที่ถูกวิธีต้องไม่อาบน้ำร้อนมากหรือนานจนเกินไปและไม่อาบน้ำบ่อยเกินไปและใช้ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่มีความอ่อนโยน รวมถึงการทาครีมบรรเทาอาการผิวหนังแห้งคันอักเสบ และหมั่นไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
การทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นควรทาหลังอาบน้ำทันทีและทาต่อเนื่องทุกวันครีมที่ใช้ต้องไม่ใส่สารสเตียรอยด์ ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ปลอดภัยมากและได้ผลดีเช่นครีมอีเชอร์ร่า ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบร่วมด้วยเป็นทางเลือกในการให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนังในผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังสารสำคัญในครีมนี้จะประกอบด้วยสาร Stimu-tex AS, Spent Grain Wax, Shea Butter, Argan Oil, และSaccharide Isomerate ที่มีคุณสมบัติลดอาการผิวแห้ง ที่นำมาสู่อาการคัน อักเสบแดง ลดอาการระคายเคือง ให้ความชุ่มชื้น และยังทำให้เกราะผิวหนังกลับมาแข็งแรงมากขึ้น ผิวที่ชุมชื้นจะช่วยให้ผื่นสงบเร็วและยาวนานขึ้นอีกด้วย แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ดีขึ้นก็ควรพามาพบแพทย์เพื่อพิจารณาให้การรักษาต่อไป
จะเห็นได้ว่าโรคภัยนั้นคืบคลานมาใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด ถึงแม้การป้องกันจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ในวัยเด็กที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดโรคได้ การรักษาและดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้สามารถหายจากอาการเจ็บป่วยที่ต้องเผชิญได้ในที่สุด