ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เงินให้สินเชื่อของธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 จากสิ้นปีก่อน ขณะที่รายได้จากการดำเนินงานหลักทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิของธนาคารในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามตลาดการเงินที่ผันผวนมากขึ้น ทำให้รายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ของธนาคารลดลง รวมถึงยังต้องตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเนื่องยึดหลักระมัดระวัง ส่งผลให้กำไรสุทธิไตรมาส2มีจำนวน 7,169 ล้านบาท
ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มค่อยๆ ขยายตัว โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐและการท่องเที่ยว ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนเริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังฟื้นตัวช้าและจำกัดอยู่ในบางธุรกิจ และการส่งออกยังคงหดตัวตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ จากปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังกล่าวส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 1,906,936 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38,033 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.0 จากสิ้นปี 2558 โดยเติบโตจากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และรายกลาง ลูกค้าบุคคล และสินเชื่อกิจการต่างประเทศสำหรับคุณภาพเงินให้สินเชื่อ
ภาคธุรกิจยังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ และการส่งออกที่ยังคงซบเซา จึงส่งผลให้สินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 มีจำนวน 67,995 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.1 ของเงินให้สินเชื่อ ทั้งนี้ ธนาคารได้เน้นการบริหารความเสี่ยงด้านคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมพร้อมทั้งให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือลูกค้าอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเสมอมานอกจากนี้ ธนาคารยังคงยึดหลักความระมัดระวังด้วยการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 ธนาคารมีเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในระดับสูงที่ 111,863 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5.9 ของเงินให้สินเชื่อ โดยในไตรมาสนี้ ธนาคารมีค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 3,542 ล้านบาท
ธนาคารให้ความสำคัญเรื่องการบริหารสภาพคล่องให้เพียงพอควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 ธนาคารมีเงินรับฝากจำนวน 2,154,256 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63,291 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.0 จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 88.5 เทียบกับ ร้อยละ 89.4 ณ สิ้นปีก่อน
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2559 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 7,169 ล้านบาท ลดลง 866 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.8 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 15,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,378 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.0 และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.30 เป็นร้อยละ 2.27 เนื่องจา ต้นทุนเงินรับฝากลดลง
ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 9,250 ล้านบาท ลดลง 2,077 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.3 ส่วนใหญ่เป็นผลจากกำไรสุทธิจากเงินลงทุนลดลง ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิมีจำนวน 5,976 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 550 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.1 รายการที่สำคัญมาจากค่าธรรมเนียมจากการอำนวยสินเชื่อ สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 12,599 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,010 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.7 สาเหตุหลักเกิดจากค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
ด้านเงินกองทุน ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ในระดับที่ดีสามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งหากนับรวมกำไรสุทธิสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2559 รวมเข้าเป็นเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยจะอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 18.8 ร้อยละ 16.8 และร้อยละ 16.8 ตามลำดับ
ส่วนของเจ้าของ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 มีจำนวน 369,097 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.6 ของสินทรัพย์รวม และมูลค่าตามบัญชีเท่ากับ 193.36 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 3.80 บาท จากสิ้นปี 2558