‘ธพว.’ Q4 มุ่งเสริมแกร่ง 5 ด้าน
หนุนผู้ประกอบการกลุ่มS-Curve
ธพว.ประกาศเดินหน้าพัฒนาธนาคารด้วยโมเดล ‘หย่านมแม่’ มุ่งเติบโตด้วยตัวเองอย่างมั่นคงยั่งยืนในระยะยาว หลังคลังอนุมัติเพิ่มทุน 1,000 ล้านบ.เสริมฐานะแกร่ง ขณะที่ผลประกอบการดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี ผู้บริหาร พนักงานร่วมบริหารจัดการบรรลุเป้าหมายตามแผนฟื้นฟู คาดยอด NPL สิ้นปีลดเหลือราว 18,000 ล้านบาทตามแผน อนุมัติสินเชื่อได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ 35,000 ล้านบาท ในไตรมาส4 เน้นเสริมแกร่งองค์กร 5 ด้าน พร้อมมุ่งบริการการเงินดันสร้างผู้ประกอบการกลุ่ม S-Curveและจูงใจจดเป็นนิติบุคคล
นายสมชาย หาญหิรัญ ประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) เปิดเผยว่า ด้วยผลประกอบการที่ดีมาตลอด 2 ปี จากความร่วมมือร่วมใจของคณะกรรมการ ฝ่ายจัดการ และพนักงาน ทำให้ธนาคารสามารถแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการงานแต่ละด้านบรรลุเป้าหมายตามแผนฟื้นฟู ประกอบกับล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 กระทรวงการคลังได้อนุมัติเพิ่มทุนให้ธพว.อีก 1,000 ล้านบาท ทำให้ขณะนี้ฐานะของธพว.แข็งแกร่งมั่นคงอย่างชัดเจน
โดยผลประกอบการล่าสุด ณ เดือนสิงหาคม 2559 มียอด NPLลดลงเหลือ 19,486 ล้านบาท คิดเป็น 21.66% ของยอดสินเชื่อคงค้างทั้งหมดคาดว่ายอด NPL สิ้นปีนี้จะเหลือประมาณ 18,000 ล้านบาท ตามแผนที่กำหนด ส่วนการปล่อยสินเชื่อใหม่สู่ระบบเศรษฐกิจได้เบิกจ่ายไปแล้ว 21,953 ล้านบาท โดยยังมีผู้ประกอบการยื่นขอสินเชื่อค้างระหว่างพิจารณาอีกกว่า 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้เป็นผลจากการที่ ธพว. ออกผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจผู้ประกอบการ 2 โครงการ คือ สินเชื่อ SMEs บัญชีเดียว วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท และสินเชื่อ Soft Loan 3 เพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ วงเงินรวม 3,000 ล้านบาท ซึ่งเริ่มเดินสายเปิดตัวตั้งแต่เดือนสิงหาคม ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดกว่า 20 แห่ง ได้รับความร่วมมือดีมากจากทั้งหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย คลังจังหวัด และอุตสาหกรรมจังหวัด จนมีคำขอกู้จากเอสเอ็มอีรายเล็กเข้ามาอย่างล้นหลาม คาดว่าจะสามารถอนุมัติและเบิกจ่ายได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ 35,000 ล้านบาท
“สำหรับไตรมาส 4 ที่เหลือนี้ ธพว. ให้บริการทางการเงินเพื่อผลักดันการสร้างผู้ประกอบการในกลุ่ม S-Curve ตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมหรือรัฐบาล ซึ่งหมายถึง ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ แบ่งกลุ่ม First s-curve 1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next – Generation Automotive) 2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) 3) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Affluent, Medical and Wellness Tourism) 4) การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (Agriculture and Biotechnology) 5) อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (Food for the Future)
และกลุ่ม New S-curve ประกอบด้วย 1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) 2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics)
3) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Bio-chemicals) 4) อุตสาหกรรมดิจิตอล (Digital) 5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub)
นอกจากนี้ยังเน้นจูงใจให้ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดาจดทะเบียนเปลี่ยนกิจการเป็นนิติบุคคล เพื่อรองรับระบบ E-Paymentบัญชีเดียว ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง โดยจะมีทั้งการช่วยเหลือสนับสนุนสินเชื่อและร่วมลงทุนหนุนเสริมจัดทำเป็นโปรแกรมพิเศษ ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นชัดว่าผู้ประกอบการได้เริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองแล้ว โดยจากสถิติผู้มายื่นขอสินเชื่อที่ ธพว. กว่า 80% เป็นนิติบุคคล
ส่วนความร่วมมือในโครงการศูนย์ SMEs Rescue Center นั้นได้ให้ทุกสาขาของ ธพว. เป็นหน่วยงานหลักในการคัดกรองและช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีปัญหาเดือดร้อนด้านการเงิน ซึ่งได้ดำเนินการจนสามารถผลักดันลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ตามกฎหมายฟื้นฟูใหม่ เข้าสู่กองทุนพลิกฟื้น SMEs วงเงิน 1,000 ลบ. จนสำเร็จกลุ่มแรกจำนวน 4 ราย วงเงินที่ได้รับรวมกัน 2.2 ลบ. และจะทะยอยนำเสนออีกหลายร้อยรายในเร็ว ๆ นี้
ขณะนี้ ธพว. มีสถานะที่มั่นคงเข้มแข็งแล้วและพร้อมที่จะสนับสนุนทุกนโยบายของรัฐบาล จะไม่เป็นภาระการช่วยเหลือด้านงบประมาณ โดยยังคงเดินหน้าตามกรอบพันธกิจคือการช่วยเหลือเอสเอ็มอีรายเล็ก วงเงินไม่เกินรายละ 15 ลบ. ภายใต้ระบบการควบคุมภายในและการบริหารจัดการความเสี่ยงตามมาตรฐาน” นายสมชายกล่าวในที่สุด
ส่วนทางด้าน นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวเพิ่มเติมว่า ธพว. มีความพร้อมที่จะช่วยตัวเองโดยไม่ต้องเสนอโครงการขอชดเชยดอกเบี้ยให้เป็นภาระของรัฐบาล ซึ่งเราได้ออกสินเชื่อ SMEsบัญชีเดียว วงเงินรวม 30,000 ลบ. อัตราดอกเบี้ยปีแรกเพียงร้อยละ 5 และโครงการเบิกจ่ายแฟคตอริ่งทั่วไทยในวันเดียว วงเงินรวม 4,000 ลบ. อัตราดอกเบี้ยปีแรกเพียงร้อยละ 3.99% ซึ่งต่ำกว่าอัตรา MLR ที่ร้อยละ 6.875 โดยส่วนต่างนั้น ธพว. ยอมเฉือนเนื้อลดให้ลูกค้าเองไม่ได้ขอชดเชยจากรัฐแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่เราควบคุมค่าใช้จ่ายในองค์กรได้ต่ำกว่าแผน และยังลดต้นทุนเงิน ณ สิ้นปี 2558 ที่ร้อยละ 2.77 คงเหลือในปัจจุบันเพียงร้อยละ 2.10 ธพว. เป็นสถาบันการเงินรัฐไม่ได้มุ่งหวังกำไรสูงสุดเป็นสำคัญ ดังนั้น เมื่อมีผลประกอบการดีขึ้นแล้วก็จะคืนกลับให้ผู้ประกอบการทันที
“ผมเลยใช้คำว่า “หย่านมแม่” เพื่อสื่อความหมายว่าเราต้องเติบโตด้วยตัวเองอย่างมั่นคงยั่งยืนในระยะยาว ต้องยืนหยัดทำหน้าที่ตามพันธกิจองค์กรไปสู่เป้าหมาย ถึงเวลาแล้วที่ธนาคารนี้ต้องเดินและวิ่งสู่เส้นชัยด้วยตัวเอง มีความสามารถที่จะอยู่รอดในระยะยาว ไม่ให้เกิดความผิดพลาดการบริหารเช่นในอดีต โดยใช้วิธีการบริหารความเสี่ยง การกำกับและควบคุมภายในที่ดี เพื่อให้ฐานการเงินมั่นคงยั่งยืน”
ส่วนไตรมาส 4 นี้ ฝ่ายจัดการได้ปรับกระบวนทัพเพิ่มเติมเน้น 5 ด้าน เสริมแกร่งและมุ่งสู่ธนาคารเพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการเต็มรูปแบบ ได้แก่ 1)ด้านพัฒนาระบบการให้บริการ เพื่อการอำนวยสินเชื่อและบริการลูกค้า 2)ด้านพัฒนาบุคลากรให้เป็นนักพัฒนาผู้ประกอบการSMEs 3)ด้านฐานะทางการเงินที่มั่นคงยั่งยืน 4)ด้านพัฒนาผู้ประกอบการและส่งเสริมการตลาดเพื่อช่วยเหลือ SMEs และ 5)ด้านพัฒนาองค์กรให้เข้มแข็งด้วยจริยธรรมธรรมาภิบาล ปลูกฝังค่านิยมที่ดี ต้นแบบที่ดี มีความโปร่งใสน่าเชื่อถือ เพื่อรองรับภารกิจที่จะตอบสนองนโยบายของรัฐบาลไปสู่มือผู้ประกอบการอย่างเต็มกำลัง” นายมงคลกล่าวในที่สุด