รมว.สธ.ประชุมร่วม 6 รัฐมนตรี
พัฒนาสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก
รมว.สาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมปรึกษาหารือ เรื่องแผนการดำเนินงานด้านสมุนไพรไทยเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ร่วมกับ 6 รัฐมนตรี รวมถึง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และรมว.สำนักนายกรัฐมนตรี หารือแนวทางขับเคลื่อนแผนแม่บทสมุนไพรไทยฉบับที่ 1 อย่างเป็นรูปธรรมเห็นผลภายใน 1ปี ให้สามารถสร้างมูลค่าในตลาดโลกได้ 5 แสนล้านบาท ระบุเฟ้นสมุนไพร มอง3มิติ คือ นวัตกรรมรูปแบบธุรกิจ เช่น ยา สปา อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและนวัตกรรมเทคโนฯการผลิต
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้พัฒนาสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพสูง อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการบูรณาการทำงานร่วมกัน ตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ.2560-2564 ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อวันที่ 4ตุลาคม2559 อยากให้เกิดการดำเนินงานตามแผนแม่บทที่ชัดเจน ทั้งผลผลิต การแปรรูปและการนำไปใช้
ในปัจจุบันศักยภาพด้านสมุนไพรไทย ที่มีชื่อเสียงติดตลาดแล้วเช่น ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ มีโรงงานผ่านมาตรฐานการส่งออก มูลค่าการจำหน่ายในประเทศปีละ 300 ล้านบาท แต่ขาดการส่งออกต่างประเทศ โดยที่ประชุมเห็นว่าเป็น 1 ในรูปแบบที่สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสู่ตลาดโลก ขอให้ทำแผนรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ภาพใหญ่ของประเทศคือภาคเอกชน มีบริษัทเอกชนอีกจำนวนมากที่เป็นพลังมหาศาลของประเทศ มีมูลค่าในตลาดเป็นแสนล้านบาท จากเครื่องสำอาง และอาหารเสริม
ทั้งนี้ หลักในการจะเลือกสมุนไพร เพื่อจะนำมาพัฒนาสู่ตลาดโลกนั้น ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญใน 3 มิติหลักๆ ดังนี้ 1.นวัตกรรมในรูปแบบธุรกิจ (Business Innovation) เช่น สปา ยา อาหารเสริม เป็นตัวดึงดูด 2.นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ (Product Innovation) และ3.นวัตกรรมกระบวนการ (Process Innovation) เทคโนโลยีที่นำมาใช้ การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือกระบวนการนำเสนอผลิตภัณฑ์
ด้านนพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการหารือกับอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องการสร้างมูลค่าและผลักดันสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก และได้มีข้อสรุปร่วมกันใน 3ประเด็น คือ 1.มองความต้องการของตลาด ขณะนี้เรามีข้อมูล มีเรื่องราว นำไปสู่การทำการตลาด 2.ร่วมกันผลักดันแผนงานสำคัญที่เห็นผลในทางปฏิบัติ 3.ตั้งคณะทำงานมาดำเนินการอย่างจริงจัง