ส.เวชศาสตร์ฉุกเฉินฯระดมทีม
พัฒนาระบบลดเจ็บป่วยฉุกเฉิน
สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย ร่วมกับหลายหน่วยงานรวมสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย สถาบันประสาทวิทยา และสมาคมนักกำหนดอาหาร จัดเวทีระดมความคิดในโครงการส่งเสริมและป้องกันคนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน ณ โรงแรมสุโกศล กรุงเทพฯ โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) มุ่งป้องกัน-ลดการเจ็บป่วยฉุกเฉินจากปัจจุบันมียอดเข้าโรงพยาบาลกว่า25ล้านคนต่อปี บุคลากรการแพทย์สนใจร่วมงานกว่า100คน
ศ.เกียรติคุณ นายแพทย์สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่ งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้คนไทยมีแนวโน้มเจ็บป่วยฉุ กเฉิน เสี่ยงเสียชีวิต พิการ กะทันหันเพิ่มขึ้น ยอดผู้ป่วยฉุกเฉินเข้าโรงพยาบาลกว่า25ล้านคนต่อปี
ขณะเดียวกันองค์การอนามัยโลก( WHO) รายงานว่า68% ของการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลกเกิดจากโรคที่ไม่ติดต่อ หรือโรคเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพ อันสอดคล้องกับการจัดงานครั้งนี้ที่เป็นการระดมสมองจากบุคลากรจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในการรักษาผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน ป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยฉุกเฉิน และรับฟังความเห็นคำแนะนำเพื่อการปรับปรุงสื่อต่างๆที่ ทางโครงการฯได้จัดเตรียมให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถนำไปใช้ ในการส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักป้องกันตนเองไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน หากสามารถทำให้แพทย์พยาบาลเปลี่ยนการมุ่งเน้นเฉพาะที่การรักษา ให้เป็นการส่งเสริมป้องกันไม่ให้เกิดอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินขึ้นได้ ก็จะช่วยลดการเสียชีวิต ความพิการ หรือความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยได้
ศ.เกียรติคุณ นายแพทย์สันต์ กล่าวว่า สำหรับแนวคิดของโครงการนี้ ประกอบด้วย4กรอบ คือ1.การทำให้มีสุขภาพดี2.หากมี โรคประจำตัว หรือเจ็บป่วยฉุกเฉินใด ผู้ป่วยหรือญาติสามารถดู แลและควบคุมโรคประจำตัว หรือการเจ็บป่วยฉุกเฉิน 3.หากมีอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินรุนแรง ผู้ป่วยหรือญาติ ควรทราบวิธี ช่องทางในการสอบถามวิธีการแก้ ไขเบื้องต้น หรือติดต่อขอรับบริการการแพทย์ ฉุกเฉิน1669 ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 4.การเตรียมบุคลาการทางการแพทย์ ให้พร้อมช่วยเหลือผป.ฉุกเฉินโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มี การเจ็บป่วยรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้อย่างเหมาะสมเมื่อพบประสบเหตุ
“การที่รัฐบาลพยายามสร้างกลไกการรักษาด้วยนโยบาย เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิได้ทุกที่ฟรี 72ชั่วโมง นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ทำให้ประชาชนไม่ต้องสำรองเงินจ่าย แต่การดำเนินการนั้นจำเป็นจะต้องมีความรัดกุมเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดการใช้ระบบที่ฟุ่มเฟือยไม่ถูกต้อง และมีความครอบคลุม” ศ.เกียรติคุณ นายแพทย์สันต์ กล่าว
ด้านนายแพทย์สมชาย กาญจนสุต อุปนายก สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่ดีนั้นจะต้องประกอบด้วยวัตถุประสงค์ ที่เป็นผลสำเร็จ 3 ประการของการบริการได้แก่ 1.ความรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ 2.คุณภาพของการดูแลรักษา และ3.ความครอบคลุม เพื่อให้ผู้เจ็บป่วยสามารถได้รับการดูแลรักษาที่ทันต่อเหตุ การณ์ไม่เสียชีวิตไปก่อน และได้รับการดูแลตามมาตรฐานที่ เสมือนแพทย์ได้ดูแลเอง อย่างทั่วถึง เท่าเทียม ตลอดเวลา และได้รับการนำส่งไปยังสถานพยาบาลที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ปฏิบัติงานในระบบควรจะมี ความเข้าใจในวัตถุประสงค์ทั้ง3ประการนี้ โดยมีการสำรวจ ประเมินคุณภาพในพื้นที่ที่รับผิดชอบจะทำให้ระบบบริการการแพทย์ ฉุกเฉินเป็นไปอย่างตรงทิศทางและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.2551
“ทั้งหมดนี้จะเป็นตัวกำหนดระบบของหน่วยการแพทย์ฉุกเฉินทุกหน่วยให้มี การทำงานและมีเป้าหมายที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ในโครงการนี้จะมีการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ระดับต่างๆให้ มีความรู้และทักษะช่วยเหลือผู้ ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ในชื่อหลักสูตรComprehensive Life Support (CLS) หวังว่าเวทีครั้งนี้จะช่วยสร้ างศักยภาพบุคลาการด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ให้เกิดงานบริการที่รวดเร็ว ทันเวลา ถูกต้องทุกขั้นตอนตามหลักวิชาการ”นายแพทย์สมชาย กล่าว
ด้านรองศาสตราจารย์ นายแพทย์พินิจ กุลละวณิชย์ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันสาเหตุการตายของคนไทยส่ วนมากมาจากโรคที่เราสามารถป้องกันได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคมะเร็ง ในอีก 4 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่ างเต็มรูปแบบ คือ จะมีผู้สูงอายุ 20%ของประชากรในประเทศ
ดังนั้นการมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพตั้งแต่เด็กจึงเป็นเรื่องสำคัญ การที่จะทำให้ตนเองมีสุขภาพดี ไม่มีโรค ตั้งแต่เกิดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต หากสามารถปฏิบัติตาม10 เคล็ดลับ ได้แก่ มีหุ่นดี ทานอาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลัง พักผ่อนให้เพียงพอ อารมณ์ดีเดินสายกลาง งดสารเสพติด มีเพศสัมพันธ์ปลอดภัย ฉีดวัคซีนตามแนะนำ ระวังภัยไม่ประมาท ตรวจสุขภาพตามความเหมาะสม และการตรวจคัดกรองโรคต่างๆเมื่อถึงวัยจะเป็นหนทางหนึ่งของการมีสุขภาพที่ดีได้ หากตรวจเจอสิ่งผิดปกติในร่างกายจะได้ทำการรักษาตั้งแต่ ในระยะเริ่มต้นดีกว่าจะปล่อยให้ โรคกำเริบออกมาแล้วจึงค่อยทำการรักษา
ขอบคุณภาพประกอบ-นพ.สมชายจาก-www.thairnews.com,
ภาพรศ.นพ.พินิจจาก-www.parliament.go.th