รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์กลางสถานที่จัดงานระดับโลกใจกลางเมืองหนึ่งเดียวของกทม. สามารถครองผู้นำให้บริการสถานที่จัดงานระดับพรี เมี่ยมมาตลอด 11 ปี เตรียมพร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำศูนย์กลางสถานที่จัดงานระดับโลก (World Class Venue) โดยมุ่งพัฒนาบุคลากร และชู 3 มาตรฐานระดับโลกเพื่อยกระดับการบริการอย่างมืออาชีพในสายตาต่างชาติ ตั้งเป้าระยะ 2 ปีปรับสัดส่วนลูกค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 70:30 คาดสัดส่วน 30% คงได้เห็นภายในปีหน้า 2561 มั่นใจในความได้เปรียบ คือ ตั้งอยู่ในกลางเมือง มีพื้นที่ช็อปปิ้งอยู่ในตัวแบบวันสต็อปชอปปิ้ง มีพื้นที่รองรับเพียงพอ เดินทางได้สะดวก ไม่ไกลจากสนามบิน และใกล้โรงแรม
นายทาลูน เทง กรรมการผู้จัดการ รอยัล พารากอน ฮอลล์ เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับการแข่งขันและยกระดับการให้บริการตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทางศูนย์ฯได้พัฒนาทั้งด้านบุคลากร สถานที่ และกายภาพต่างๆ โดยในการพัฒนาบุคลากรนั้นได้จัดส่งบุคลากรในระดับบริหารเข้าศึกษาอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาทุกวิถี ทางในการยกระดับการให้บริการเทียบเท่ากับเวิลด์คลาส
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาบุคลากรที่เป็นผู้บริหารระดับสูง ระดับกลาง ได้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรการให้บริการแบบมืออาชีพ ในหลักสูตรที่เรียกว่า CEM (Certified in Exhibition Management) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมไมซ์ระดับโลก ซึ่งทางสำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) นำเอาหลักสูตรนี้เข้ามาพัฒนาบุคลากรในประเทศไทยให้มีความชำนาญและเชี่ยวชาญในด้านของเอ็กซิบิชั่น โดยมีบุคลากรของบริษัทเข้าร่วมใ นหลักสูตร 5-6 คน
ส่วนอีกหลักสูตรหนึ่งที่นำมาพัฒนาผู้บริหารก็คือ EMD หรือ เอ็กซิบิชั่นแมเนจเมนท์ ดิโพมา (Exhibition Management Diploma) ซึ่งเป็นหลักสูตรของสวิตเซอร์แลนด์เป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษทั้งห มด และที่กำลังจะทำในเดือนสิงหาคมนี้ คือ CMP (Certified in Meeting Professional)
ส่วนเรื่องสำคัญอีกเรื่องคือ การเตรียมความพร้อมเข้ารับการปร ะเมิน 3 มาตรฐานระดับโลก ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายในเดือนตุลาค ม 2560 เรื่องแรกเป็นเรื่องระบบการจัดการด้านการรักษาความปลอดภัยของศูนย์ประชุม และเรื่องที่สองคือ อีเวนท์ซัสสเตเบิ้ล แมเนจเมนท์ เป็นมาตรฐานด้านการจัดงานอย่างยั่งยืน ซึ่งคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ส่วนมาตรฐานสุดท้ายเป็น BCM (Business Continuity Management) เป็นระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ โดยมาตรฐานนี้จะช่วยแสดงถึงศักยภาพของ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ในการส่งมอบการบริการให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะเกิดอุบัติการณ์ใด ๆ ก็ตามที่ทำให้เกิดการหยุดชะงัก
“มาตรฐานนี้เราเคลมได้ว่าเป็นศูนย์ประชุมแห่งแรกของเอเชียที่สร้างมาตรฐานนี้ขึ้นมา และกำลังเช็คข้อมูลว่าเป็นระดับโลกหรือไม่ ซึ่งเป็นการจัดเตรียมให้กับลูกค้า เราจะเป็นคนแรกที่ทำ นั่นคือเดือนตุลาคมปีนี้ เราจะได้ 3มาตรฐานพร้อมกัน อันนี้ถือเป็นสิ่งที่เราเตรียมตั วเองขึ้นไปพัฒนาทั้งองค์กร ทั้งบุคลากร รวมทั้งสถานที่เราก็ทำให้เข้ามา ตรฐานไอเอสโอเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ทรัพยากร ประหยัดพลังงาน”
สำหรับการยกระดับมาตรฐานทั้ง 3 ด้านนั้น นายทาลูนกล่าวว่า เป็นการเพิ่มมูลค่า ไม่ใช่เรื่องของการเพิ่มราคา เป็นการทำให้มืออาชีพและทั่วโลก ยอมรับว่าหากมีมาตรฐานดังกล่ าวแล้ว แสดงว่ามีความรู้ ความชำนาญในการรับมือกับสถานการ ณ์ต่างๆ อย่างเรื่อง BCM จะช่วยเรื่องการบรรเทาความเสี่ย งในการดำเนินธุรกิจ หากเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เพราะทุกอย่างไม่มีความแน่นอน จึงต้องมีการเตรียมตัว เพื่อลดผลกระทบที่ร้ายแรงให้เบา ลงได้
“ทุกก้าวที่เราเดินมีความเสี่ยงเหมือนการลงทุนหุ้นที่เตือนกันตลอดเวลาว่า การลงทุนมีความเสี่ยง การทำธุรกิจก็มีความเสี่ยง ถ้าเราเตรียมตัวได้ดี ความเสี่ยงเหล่านั้นก็จะบรรเทาลง เป็นสิ่งที่เรามองเห็นว่า ควรจะทำ นอกจากนี้ยังมีเรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่ผู้จัดงานต่างประเทศมองเรื่องของกรีนมาแรงมาก เป็นเทรนด์ของไมซ์ที่มาแรง”
ส่วนแผนการทำตลาดในปี 2560นี้ จะมีการปรับสัดส่วนจากเดิมเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เคยวางสัดส่วนลูกค้าในประเทศไว้ 80% และลูกค้าต่างประเทศ 20% ปรับเป็นลูกค้าในประเทศ 70% ขณะที่ต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 30% ถือเป็นการรุกตลาดต่างประเทศปีแรก จะเป็นการร่วมกับสสปน. ซึ่งมีโรดแมพในการดึงต่างประเทศ เข้ามาเมืองไทยอยู่แล้ว แต่ศูนย์ฯจะเลือกตลาดให้ตรงกับเป้าหมายของตัวเองที่เน้นเรื่องของไลฟ์สไตล์
อย่างไรก็ตามจุดประสงค์หลักของการหันไปรุกตลาดต่างประเทศ คือ ศูนย์ฯต้องการที่จะเปิดตัวว่า มาตรฐานการบริการของเราสามารถรองรับงานระดับโลกได้ เลยพยายามหางานต่างประเทศเข้ามา เพิ่มขึ้น อย่างปีที่ผ่านมา มีงานต่างประเทศหลายประเภทมาก คอนเสิร์ตต่างประเทศก็เยอะ ส่วนในปีนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาพูดคุย จึงอาจยังไม่มีการประชุมใหญ่จากต่างประเทศเข้ามา แต่ในปีหน้าคงจะมีประมาณ 2-3 งาน เพราะการจะดึงงานต่างประเทศมาต้องใช้เวลาพูดคุยกันพอสมควร
ดังนั้นการจะเพิ่มสัดส่วนต่างประเทศเป็น 30% คงจะเห็นในปีหน้า โดยแผนนี้จะใช้ระยะเวลา 2 ปีเพราะปีแรกคือ ปีนี้ยังรุกได้ไม่มากนัก ปลายปีนี้จะเดินทางไปเจรจางานในต่างประเทศ เน้นไปที่ตลาดใหญ่ๆ ไปนำเสนอโปรดักส์ให้ต่างชาติได้รับรู้ กว่าจะดึงงานเข้ามาจัดได้ก็ต้องใช้เวลาเป็นปี
สำหรับกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศก็จะเป็นกลุ่มไลฟ์สไตล์ สมาคมต่างๆ เพราะมีหลายสมาคมทั่วโลก และมีบริษัทที่นำพนักงานดีเด่นมาประชุมมาเที่ยวเมืองไทย ที่ศูนย์ฯได้เปรียบคือ มีชอปปิ้งอยู่ในตัว มีพื้นที่รองรับเพียงพอ
ส่วนตลาดในประเทศจะเน้นความหลากหลาย โดยปัจจุบันสัดส่วนของงานจะเป็น งานแสดงสินค้า 35% งานสเปเชียลอีเวนท์ 25% งานเอนเตอร์เทนเมนท์และเปิดตัวสิ นค้า 25% ส่วนที่เหลือ 15% เป็นงานเฉลิมฉลอง จัดงานเลี้ยงในวาระต่างๆ
ขณะที่รายได้ในปีนี้ น่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่ านมา ซึ่งมีรายได้ประมาณ 215 ล้านบาท มีโอกาสเพิ่มขึ้นหรือลดลงเล็กน้ อยไม่เกิน 5% ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเข้ามาใช้ งานของผู้จัดงาน หากลูกค้าใช้เวลาในการจัดงานมาก ขึ้น รายได้ก็เพิ่มขึ้น โดยปกติในการทำธุรกิจนี้จะเติบโ ตทุกปีเฉลี่ย 7-12% เพียงแต่ตัวเลขจะเป็นเท่าไหร่จะ ไม่คงที่เสมอไป ส่วนปริมาณการจัดงานต่างๆ ในปีนี้ก็ใกล้เคียงกับปีที่ผ่าน มา
ส่วนทางด้านการแข่งขันในธุรกิจนั้ น มองว่าความต้องการพื้นที่จัดงาน แสดงหรือศูนย์การประชุมยังมีอยู่ สูง โดยตลาดไมซ์มีการเติบโตปีละ 15% ทำรายได้เข้าประเทศ 9.5 หมื่นล้านบาท มีการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว 8.5 หมื่นบาท ถือเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตต่อ เนื่อง และแม้สถานที่จัดงานจะเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ แต่ในทำเลศูนย์กลางกรุงเทพฯ คงไม่มีเพิ่มมากนัก คงมีแค่ส่วนที่เป็นโรงแรมมีพื้น ที่น้อยกว่าศูนย์การประชุม
“ตลาดไมซ์ยังเติบโตได้เยอะ ส่วนอันไหนจะโตก็แล้วแต่จังหวะ เราจะอยู่ในสี่ตัว ไม่ว่าจะเป็น M – Meeting หรือ I – Incentive หรือ C – Convention หรือ E – Exhibition แต่ผมจะเพิ่มเป็นไมซ์ยกกำลังสาม โดยกำลังสามของเราจะไปเติมที่ตั ว E หรือเอ็กซิบิชั่น เช่น เติมเอ็ดดูเคชั่น และเอ็นเตอร์เทนเมนท์ รวมทั้งสเปเชียลอีเวนท์เข้าไป เราจะไม่ทำแค่สี่ตัวที่มีอยู่ อันนี้เป็นกลยุทธ์ที่ทำมาสิบปีแ ล้ว”
กรรมการผู้จัดการ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ยังกล่าวอีกว่า นอกเหนือจากการบริหารจัดการแล้ว การแข่งขันในธุรกิจศูนย์ประชุมยังอยู่ที่ทำเลที่ตั้ง ระบบการขนส่ง มีการจราจรที่คล่องตัว ต้องไม่ไกลจากสนามบิน มีโรงแรมอยู่ใกล้ จะทำให้ได้เปรียบ ซึ่งรอยัล พารากอน ฮอลล์ มีทำเลที่ตั้งที่สำคัญมากเมื่อ 10 ปีก่อน เพราะอยู่ใจกลางเมือง เดินทางได้สะดวก เป็นไลฟ์สไตล์ที่ทุกคนเข้าถึง มีความหลากหลายในการใช้ชีวิตในที่ เดียว เรียกว่าเป็น วันสต็อปชอปปิ้ง แต่สิ่งเหล่านี้อาจเปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล จากการที่คนหันไปใช้ระบบออนไลน์ แต่ศูนย์ประชุมยังเป็นสถานที่ที่ต้องมาพบปะกัน
ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอแทบไม่มี ผลกระทบต่อรอยัล พารากอน ฮอลล์ เนื่องจากเป็นศูนย์ฯที่มีไซส์ขนาดกลาง ซึ่งลูกค้าไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการจัดงานเหมือนไซส์ใหญ่ จึงยังคงมีการจัดงานอยู่เช่นเดิม นอกจากนี้ ทางศูนย์ฯยังมีการพัฒนาออกแบบงานของตัวเอง เน้นใช้นวัตกรรม แนวคิดรูปแบบใหม่ๆ มานำเสนอ รวมทั้งสร้างสรรค์งานร่วมกับลูก ค้าที่เข้ามาใช้บริการ เสมือนหนึ่งเป็นทีมงานเดียวกัน จึงทำให้ลูกค้าเดิมอยากกลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
“ความท้าทายคือ การหาลูกค้าใหม่ และรักษาลูกค้าเก่าไว้ ตอนนี้เราได้จัดทำโครงการพาร์ทเนอร์ชิพ เพื่อตอบแทนกลุ่มลูกค้าเก่าและจู งใจให้เป็นพันธมิตรกันต่อไป เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีความภักดีกับเราสูง ใช้บริการซ้ำซึ่งมีอยู่จำนวนมาก เป็นการเน้นความยั่งยืนในการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า”