ก.วิทย์เปิดNSTDA Investors’Day
ชู “10 เทคโนโลยีน่าจับตามอง”
กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยสวทช. จัดกิจกรรมนำเสนอผลงานวิจัยที่น่าลงทุนประจำปี 2560 หรือ NSTDA Investors’ Day 2017 ภายใต้งาน Thailand Tech Show 2017 ณ ไบเทค บางนา ที่สวทช. จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “อินโนฟิวชั่น : เสริมพลังธุรกิจด้วยวิทย์และนวัตกรรม” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และต่อยอดนวัตกรรมให้กับนักลงทุนเป้าหมายและผู้ประกอบการไทยใช้วิทย์-เทคโนฯ-นวัตกรรม พัฒนากระบวนการผลิตให้แข่งขันได้ยั่งยืน พร้อมชู 10 เทคโนโลยีน่าจับตามอง ซึ่งจะมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์โลกในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า อาทิ สารเสริมสุขภาพเนรมิตได้ เนื้อสัตว์ไม่ต้องฆ่า หุ่นยนต์หมอนาโนและจุลินทรีย์ผลิตสารมูลค่าสูงจากอากาศ นอกจากนี้ยังมี “บรรจุภัณฑ์กินได้” ที่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการบริโภคอาหารประจำวัน ดัง “Juice Ball” น้ำผลไม้สดในเจลบอลของบริษัทซีโอ สวนสระแก้ว จำกัด ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของคนไทย
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ประธานกล่าวว่า กิจกรรม นาสด้า อินเวสเตอร์เดย์ (NSTDA Investors’ Day 2017) ในงาน Thailand Tech Show 2017 เป็นการนำเสนอผลงานวิจัยที่น่าลงทุนของ สวทช. ตอบโจทย์นโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ซึ่งกระทรวงฯ ให้ความสำคัญและบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดวยปญญา ความรู และนวัตกรรมสรางมูลคาทางเศรษฐกิจ เพื่อพัฒนาผูประกอบการในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาประเทศให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ โดยเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดย่อมมีช่องทางเข้าถึงเทคโนโลยีได้โดยสะดวก รวมทั้งผลักดันพัฒนางานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริงในเชิงพาณิชย์ โดยผนึกความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย หน่วยงานวิจัยภาครัฐ และเอกชน ตลอดจนการส่งเสริมโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของประเทศให้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยของไทย
ด้านดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. และเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรในการขับเคลื่อนต่อยอดผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมจากหิ้งสู่ห้าง โดยผลักดันการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ เสริมสร้างศักยภาพ ยกระดับผู้ประกอบการและนักลงทุนเชื่อมโยงเอกชนเข้าถึงได้ง่ายและสะดวก ซึ่งกิจกรรม NSTDA Investors’ Day ยังเป็นการพัฒนาบุคลากรและนักวิจัยระดับแนวหน้าของประเทศให้สามารถสร้างสรรค์งานวิจัยที่ตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เอกชน และชุมชน ที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและสังคม
กิจกรรมนี้จัดขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 8 โดยปีที่ผ่านมามีนักลงทุนและผู้ประกอบการให้ความสนใจ เข้าร่วมงานกว่า 800 คน ที่สำคัญกิจกรรมนี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่เข้าร่วมรับฟังการนำเสนอ 14 ผลงาน ร่วมโหวตรางวัล “ผลงานที่น่าลงทุนที่สุด และ รางวัลที่นำเสนอผลงานดีที่สุด” เพื่อเป็นกำลังใจให้กับนักวิจัยในการคิดค้นนวัตกรรม และนำไปต่อยอดในเชิงธุรกิจได้รวดเร็วขึ้นตามความต้องการของตลาด ซึ่งจะเป็นส่วนเสริมพลังในการขับเคลื่อนธุรกิจเทคโนโลยี พัฒนาเศรษฐกิจ ฐานนวัตกรรม ยกระดับประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติได้ต่อไป
พร้อมกันนี้ผู้อำนวยการ สวทช. ยังได้เปิดเผย 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ซึ่งจะมา “เปลี่ยนธุรกิจ–วิถีชีวิต” ของคนเราในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เพื่อให้ผู้ประกอบการและคนทั่วไปและเตรียมรับมือได้อย่างเหมาะสม ครอบคลุมทั้งด้านอาหาร การแพทย์ การเกษตรและอุตสาหกรรม ดังนี้คือ
1. สารเสริมสุขภาพเนรมิตได้ (Phytonutrients) ปัจจุบันสามารถนำพืชผัก ผลไม้ มาสกัดเอาสารสำคัญ และทำให้อยู่ในรูปลักษณะที่ชวนบริโภค ไม่ว่าจะเป็นแคปซูล ผง แท่ง หรือละลายน้ำ ผลิตภัณฑ์ที่มีสารมีประโยชน์จากพืชออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นมากในแต่ละปี เรียกสารดังกล่าวรวมๆ ว่า Phytonutrients หรือ Phytochemicals ซึ่งจัดว่าอยู่ในกลุ่มของอาหารเสริมเพื่อสุขภาพหรือ Functional Food
2. เนื้อสัตว์ไม่ต้องฆ่า (Cellular Agriculture) ต่อไปอาจจะไม่ต้องทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ให้เปลืองพื้นที่กัน เพราะสามารถผลิตได้เองในห้องเล็ก ๆ ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ โดยประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ทดลองนำเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อวัว ที่ได้จากการเลี้ยงในห้องปฏิบัติการมาทำเป็นแฮมเบอร์เกอร์ แนวคิดการผลิตเนื้อสัตว์จากเซลล์แบบนี้ มาจากความต้องการผลิตเนื้อสัตว์แบบยั่งยืน ส่งผลดีต่อโลก โดยการใช้เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเซลล์หรือ Cell Culture ที่สามารถเพิ่มจำนวนสเต็มเซลล์ได้อย่างรวดเร็ว
เทคโนโลยีนี้มีข้อดีคือ ลดปลี่ยนน้ำเสีย ลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกได้ราว 14.5% ของแก๊สเรือนกระจกทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลดีช่วยลดภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ยังจะช่วยลดการติดเชื้อโรคจากสัตว์สู่คนได้อีกทางหนึ่ง
3. จุลินทรีย์ผลิตสารมูลค่าสูงจากอากาศ (From-Air-To-Chemicals Bacteria) นักวิจัยจาก University of Minnesota ผลิตแบคทีเรีย 2 ชนิด คือ ซินนีโคค็อกคัส (Synechococcus) ที่สังเคราะห์แสงโดยตรึงคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ แล้วเปลี่ยนให้เป็นน้ำตาล ก่อนส่งต่อให้แบคทีเรีย ชีวาเนลลา (Shewanella) เปลี่ยนให้เป็นกรดไขมัน ซึ่งนำไปใช้ผลิต “คีโตน” ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำคัญของสารประกอบอินทรีย์อื่นๆ และน้ำมันดีเซลได้
4.เป็นเทคโนโลยีเกี่ยวกับอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว ได้แก่ “บรรจุภัณฑ์กินได้” (Edible Packaging) ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากผลผลิตทางการเกษตร เพื่อใช้ห่อหุ้มอาหารไม่ให้เกิดความเสียหาย ยืดอายุ รักษาคุณภาพของอาหารให้เก็บไว้ได้นานขึ้น และสามารถรับประทานอาหารชนิดนั้นๆ พร้อมกับส่วนที่ห่อหุ้มอยู่ได้เลย โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาขยะล้นเมืองได้ด้วย
ปัจจุบันมีงานวิจัยและได้เริ่มทดลองใช้กันแล้วในหลายประเทศ เช่น ทีมนักวิจัยของ Skipping Rocks Lab ประเทศอังกฤษ ได้พัฒนา ขวดน้ำกินได้ แบรนด์ “Ooho” ผลิตจากสารสกัดจากสาหร่ายสีน้ำตาลผสมกับสารประกอบแคลเซียม มีรูปร่างกลมใสขนาดเท่าผลส้ม ภายในบรรจุเครื่องดื่ม เช่น นำเปล่า หรือน้ำหวาน โดยสามารถบริโภคได้ทั้งคำ หรือกัดเปลือกเป็นรูเล็ก ๆ เพื่อดูดน้ำแล้วทิ้งเปลือก ซึ่งสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติภายใน 4-6 สัปดาห์
สำหรับนักวิจัยไทยเองสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่คล้ายกันนี้ได้แล้ว จนเป็นที่มาของ “Juice Ball” น้ำผลไม้สดบรรจุอยู่ในเจลกลม ๆ ขนาดเท่าบัวลอย ที่มาโชว์ในงาน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทซี. โอ. สวนสระแก้ว จำกัด เป็นน้ำผลไม้สดในเจลบอล ที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงาน เพราะมีรูปลักษณ์แปลก น่ารับประทาน
นายกุลชน เลาห์พันธุ์รักษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัทฯเปิดเผยว่า นางอรพิน พิทักษากร กรรมการผู้จัดการ ซี.โอ.สวนสระแก้ว ซึ่งเป็นคุณป้าเดิมทำสวนผลไม้อยู่แล้ว โดยปลูกมะม่วงและมะละกอส่งออก ขายตามห้างในประเทศและส่งออกต่างประเทศ ต่อมาได้คิดทำผลิตภัณฑ์แปรรูปเพิ่มเติมและได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแปรรูปน้ำผลไม้เป็นลูกบอลผลไม้ เปลือกนอกเป็นเจลหุ้ม น้ำผลไม้ไว้ภายในเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาจากนักวิจัยทีมของดร.วิชชา ตรีสุวรรณ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) และได้รับการสนับสนุนจากโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) ของสวทช.ในด้านพัฒนาเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตใหม่ เนื่องจากเป็นนวัตกรรมใหม่และสนับสนุนด้านทุนด้วย
ทั้งนี้ Juice Ball เป็นน้ำผลไม้สด 100% บรรจุอยู่ในเจลบอลที่ทำมาจากสารสกัดจากสาหร่าย ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายเจราติน นับว่า เป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ที่ช่วยให้ได้ทานน้ำผลไม้สดได้ตลอดเวลา เป็นวิธียืดอายุน้ำผลไม้โดยไม่ต้องใช้สารกันบูด และช่วยเพิ่มมูลค่าน้ำผลไม้ได้ประมาณ 3 เท่าตัว เหมาะสำหรับรับประทานได้ทุกเพศ ทุกวัย
ขณะนี้มีผลิต 3 อย่าง ได้แก่ น้ำมะม่วง มะละกอและมะพร้าว โดยมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมเพียง 4% แบบบรรจุขวดและถ้วยขนาดเล็ก ผ่านกระบวนการพาสเจอไรซ์ มีอายุนาน 6 เดือนหากเก็บไว้ในตู้เย็น และอยู่ได้ 1 วันหากไม่ได้แช่ตู้เย็น ขายที่สนนราคา 3 ถ้วย 100 บาท และขวดละ 300 บาท
คาดว่าจะสามารถวางตลาดได้ภายในประมาณ 3 เดือน หลังจากผ่านการอนุมัติจาก อย.แล้ว โดยจะวางในซูเปอร์มาร์เก็ตและเล็งส่งออกตลาด ฮ่องกง
5. ถุงปลูกเพิ่มผลผลิต (Nonwovens for Agriculture) คำว่า นอนวูฟเวนส์ (nonwovens) หรือ “ผ้าไม่ถักไม่ทอ” อาจไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่ตัวอย่างนอนวูฟเวนที่คุ้นเคยกันดี พบได้แพร่หลาย คือ หน้ากากอนามัย เนื้อวัสดุมีลักษณะคล้ายกระดาษ แต่ให้สัมผัสนุ่มคล้ายผ้า ผลิตภัณฑ์แบบนี้อาศัยการขึ้นรูปจากเส้นใยโดยตรง การนำเทคโนโลยีวัสดุมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร จึงมีความสำคัญมาก ปัจจุบันนักวิจัยจากศูนย์เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ทำวิจัยถุงปลูกนอนวูฟเวน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มคุณภาพและปริมาณผลิตผลทางการเกษตรให้มากขึ้น
6. หุ่นยนต์หมอนาโน (Medical Nanorobot) ตัวยาที่ใช้รักษามะเร็งขาดความจำเพาะ จึงทำลายเซลล์มะเร็งเป้าหมายได้แค่ 1–2% ที่เหลือกลับทำลายเซลล์ดี ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ ตามมา
อย่างไรก็ดีเวลานี้มีทีมวิจัยที่ศึกษาการนำ T Cell มาใช้เป็น Nanorobot นำส่งยาที่ใช้ฆ่าเซลล์มะเร็งได้อย่างจำเพาะ หรืออาจใช้นำส่งอนุภาคนาโนบางอย่างที่เมื่อกระตุ้นด้วยรังสี จะทำให้เซลล์มะเร็งตาย โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติอื่นๆ ได้แล้ว วิธีการที่คล้ายกันนี้อาจนำมาใช้เพื่อให้นำส่งยาชนิดอื่นๆ ได้เช่น ยาร้กษาโรคเบาหวาน และอื่นๆ
7. เข็มจิ๋วจิ้มไม่เจ็บ (Nano Needle) การฉีดยาเป็นเรื่องเจ็บตัวและไม่พึงปรารถนาของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่เรื่องนี้อาจกลายเป็นอดีตไปในไม่ช้า เข็มขนาดเล็กมากๆ ที่เรียกว่า Micro/Nano Needles หรือMNN มีเส้นผ่านศูนย์กลางระดับไมโครและนาโนเมตร คือราว 1 ในล้าน และ 1 ในพันล้านส่วนของเมตรเท่านั้น ในเดือนมิถุนายน 2560 นี้เอง มีการสอบประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้กับอาสาสมัคร โดยใช้แผ่น MNN เป็นครั้งแรก โดยนักวิจัยจาก Georgia Institute of Technology ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะนี้มีงานวิจัยเพื่อสร้างเข็มจิ๋วที่เหมาะกับการฉีดยาหรือวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และการฉีดอินซูลินสำหรับการรักษาโรคเบาหวาน อีกด้วย
8. บล็อกเชนเพื่อสุขภาพ (Blockchain for Health) คือ เทคโนโลยีการเก็บข้อมูลธุรกรรมที่ทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง สามารถเก็บข้อมูล และใช้การเข้ารหัส หรือ คริปโตกราฟี (cryptography) เพื่อป้องกันการแอบแก้ไขข้อมูล และกำหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูล ทำให้ระบบมีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้คนในการบริหารจัดการข้อมูล และปลอดภัยจากการแอบแก้ไขและแอบเข้าถึงข้อมูล ตัวอย่าง เช่น นวัตกรรม Blockchain ด้านสุขภาพ ไทย บริษัท Block M.D. ที่เป็นบริษัทสตาร์ทอัพ กำลังพัฒนา Electronic Health Record หรือ EHR บนบล็อกเชน โดยใช้โครงสร้างเวชระเบียน หรือประวัติผู้ป่วยมาตรฐาน ในปัจจุบันนั่นเอง
9.โรงยิมสมอง (Brain Gym) สมองเป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อนมาก ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์นับแสนนับล้านเครื่อง เพื่อจำลองการทำงานของสมองเพียงเสี้ยววินาที แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ (Sensor) ที่นำมาศึกษาสมองได้ดี เช่น มีเทคโนโลยีการสร้างภาพประสาท (Neuroimaging) เราอาจเคยเห็นเครื่องมือพวกนี้ในโรงพยาบาลกันบ้างแล้ว เช่น เครื่อง MRI หรือ EEG มี Sensor ต่างๆ ที่ช่วยให้อ่านข้อมูลสมองได้สะดวก และเรายังมีเทคนิคการวิเคราะห์ Big Data ทำให้สามารถอ่านข้อมูลสมองได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นศาสตร์ใหม่ที่เรียกรวมว่าเป็น นิวโรอินฟอร์เมติกส์ (neuroinformatics)
10. พิมพ์ฟังก์ชัน 3 มิติ (Functional 3D Printing) ข้อมูลจาก IDTechEx ก็ระบุว่า ตลาดของวัสดุสำหรับการพิมพ์สามมิติคาดว่าจะเติบโตและมีมูลค่าตลาดทั่วโลกสูงประมาณ 700,000 ล้านบาท ในอีกสิบปีข้างหน้า ในอนาคตอันใกล้ วัสดุใหม่ๆ เช่น วัสดุคอมพอสิต จะช่วยให้สามารถพิมพ์วัสดุที่มีคุณสมบัติเฉพาะต่างๆ ได้หลากหลายขึ้น ทำให้สร้างอุปกรณ์ที่ทำงานได้เลยหลังพิมพ์เสร็จ เรียกว่า Functional 3D Printing เช่น การพิมพ์พลาสติกที่สามารถนำความร้อน เพราะมีวัสดุโลหะผสมอยู่ เช่น วัสดุผสมคอมพอสิต กับอนุภาคหรือเส้นใยของทองแดง หรืออะลูมิเนียม สามารถนำไปใช้ทดแทนชิ้นส่วนโลหะได้ เช่น ชิ้นส่วนโคมไฟรถยนต์ หรือใช้ระบายความร้อนในวงจรอิเล็กทรอนิกส์
“ปัจจุบัน เราพิมพ์เส้นลวดนำไฟฟ้าได้แล้วด้วย โดย ศูนย์นวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ หรือ TOPIC ในสังกัด ศูนย์เนคเทค สวทช. ร่วมมือกับบริษัท เฮเดล เทคโนโลยี ประเทศไทย ผลิตเส้นลวดพลาสติกนำไฟฟ้าด้วยวัสดุคอมพอสิตผสมกราฟีน ที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดีที่สุดในโลก มีความต้านทานไฟฟ้าน้อยกว่า 0.5 โอห์มต่อเซนติเมตร และสามารถขึ้นรูปได้ด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติทุกชนิด และออกวางจำหน่ายไปทั่วโลกแล้ว”
จะเห็นได้ว่า 10 เทคโนโลยีที่ควรจับตามอง ในปีนี้ ส่วนใหญ่ครอบคลุมเรื่องอาหาร สุขภาพ และการแพทย์ โดยมีเรื่องของเทคโนโลยีการพิมพ์และการเกษตรเข้ามามีบทบาทด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนในการทำความเข้าใจทิศทางและแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ เพื่อเลือกพิจารณาลงทุนให้เหมาะสม เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้อาจจะเข้าไปเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจหลายประเภทที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน และข้อมูลเหล่านี้จะมีสำคัญสำหรับคนทั่วไปเช่นกัน เพื่อให้ทันรับมือกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะเทคโนโลยีใกล้ชิดกับเราอย่างมากโดยคาดไม่ถึงในทุกมิติของชีวิต