สกว.-สกอ.เชิดชูเกียรตินักวิจัยเด่น
รัฐเร่งปลดล็อคระบบวิจัยหนุนไทย4.0
สกว. จับมือ สกอ. มอบรางวัลเชิดชู 10 นักวิจัยที่มีผลงานโดดเด่น จาก 7 สถาบัน รองนายกรัฐมนตรี พลอากาศเอก ดร.ประจิน ฝากนักวิจัยช่วยกันปฏิรูป ระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศรองรับประเทศไทย 4.0 ย้ำรัฐมุ่งปลดล็อคอุปสรรคการทำวิจัย การปฏิรูปต้องมียุทธศาสตร์และเป้าหมายที่ชัดเจน พัฒนาคน แก้เรื่องงบประมาณและปัญหา เพื่อให้นักวิจัยได้รับการคุ้มครองสิทธิ ได้รับผลตอบแทนเมื่อมีการขยายผลต่อยอด สร้างคนมีคุณภาพเข้าสู่ระบบวิจัย ตั้งเป้าในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ 60 คนต่อประชากร 1 หมื่นคน จากเพียง 12-14 คนต่อ 1 หมื่นคนในปัจจุบัน ดันเอกชนสนับสนุนวิจัยเพิ่มเป็นสัดส่วน 70% ในปี 2562
พลอากาศเอก ดร.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม “นักวิจัยรุ่นใหม่… พบ…เมธีวิจัยอาวุโส สกว.” ครั้งที่ 17 และปาฐกถานำเรื่อง “การปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรม ของประเทศในยุค Thailand 4.0” พร้อมมอบ รางวัล 2018 TRF-OHEC-Clarivate Analytics Research Excellence Award และ 2018 TRF-OHEC-Scopus Researcher Award โดยมีนักวิจัยร่วมงานมากกว่า 1,000 คน ซึ่งการประชุมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 มกราคม 2561 ณ รีเจ้นท์ ชะอำ บีช รีสอร์ต จ.เพชรบุรี
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งานวิจัยที่มีคุณค่าก่อให้เกิดปัญญาที่มีความแน่น เกิดจากระบบการกลั่นออกมาเป็นผลที่นำมาใช้งานและต่อยอดได้และก้าวสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ แก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สิ่งสำคัญคือ นำไปสู่การพัฒนาด้านพาณิชย์และการค้า เครือข่ายวิจัยถือเป็นเรื่องท้าทายที่พวกพี่ ๆ เมธีวิจัยอาวุโส สกว. ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 50 เป็นต้นมา ทุกคนเชื่อมั่นว่าการวิจัยในภาพรวมมีความสำคัญ เมื่อมีการสร้างงานวิจัยจะเกิดปัญญาและความรู้ ที่นำไปสู่เทคนิคหรือกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่รวมตัวกันเป็นสหวิชา ทำให้เกิดตัวเร่งในการเกิดนวัตกรรม ผลผลิตใหม่ ๆ ที่นำมาใช้ให้เกิดผลในด้านต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้เวลา นวัตกรรมจากเทคโนโลยีดิจิทัล หุ่นยนต์ นาโน ชีวภาพ พลังงาน ยางครบวงจร เหล่านี้เรามีพื้นฐานค่อนข้างมากแต่มักจะทำกันเป็นแท่ง ๆ เป็นส่วน ๆ เก็บเป็นภูมิปัญญาของตัวเอง ยังไม่ถึงเวลาก็เก็บเข้าลิ้นชักจนลืมแล้วอยู่บนหิ้ง
นอกจากนี้คนไทยมักไม่เชื่อคนไทยด้วยกันเอง เราต้องพิสูจน์ด้วยการผลิตและขายในต่างประเทศ จนคนไทยตื่นตัวจึงยอมรับ เราถูกกระแสค่านิยมต้องใช้หรือกินของจากต่างชาติจึงจะเท่ เราพิสูจน์แล้วว่าอาหารไทย ข้าวไทย มีคุณประโยชน์ การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวต้องอาศัยทุนวิจัยและเครื่องมือเพื่อต่อยอดสู่ความสำเร็จ สมุนไพรก็เช่นกันในบ้านเรามีมากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ แต่ปัญหาคือผลิตมาแล้วต้องมีการคุ้มครองผู้บริโภค โฆษณาประชาสัมพันธ์ด้านการรับรองคุณภาพทางยาและอาหาร ทำให้เป็นอุปสรรคที่เดินไปได้ช้ากว่าต่างประเทศ เราผลิตแล้วยังโฆษณาไม่ได้เพราะจะมีปัญหาด้านกฎหมาย ต้องส่งต่อความรู้หรือขายตรง
ประเทศไทยต้องเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้ใช้ประโยชน์ได้และมีเสถียรภาพ ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็นสาขาต่าง ๆ จาก 10 คลัสเตอร์ใหญ่ ที่สามารถนำมาเป็นประเด็นวิจัยเพื่อให้ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติและประเทศไทย 4.0 ได้ เพื่อให้เราสามารถพึ่งพาตัวเอง ผลิตเองและซ่อมบำรุงได้ เกิดการสร้างงาน เราต้องดูว่าอะไรที่เป็นจุดแข็งที่เราต้องเร่งพัฒนาตามความต้องการของตลาด และความเท่าเทียมที่คนไทยทุกคนจะเข้าถึงบริการของภาครัฐ การศึกษา มีโอกาสรับทุนที่จะพัฒนาต่อยอดหรือวิจัย การทำนวัตกรรม ทำงานในเชิงวิชาการหรือในบริษัทต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้เราเปิดโอกาสให้นักวิจัยที่ใช้ทุนของหลวงไม่จำเป็นต้องทำราชการอย่างเดียวแต่ทำงานในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศได้
ทั้งหมดนี้อยู่ในกระบวนการปฏิรูปของรัฐบาลที่เห็นความสำคัญและให้การสนับสนุน โดยได้เตรียมการยกร่างกฎหมายที่เชื่อมโยงงานวิจัย งบประมาณ องค์กร และการใช้ประโยชน์ร่วมกัน เป็นยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คาดว่า พ.ร.บ.วิจัยและนวัตกรรม จะได้รับความเห็นชอบในหลักการ ก.พ. 61 ่และนำเข้าสู่ที่ประชุม สนช. น่าจะออกมาเดือนเมษายน การปฎิรูปงานวิจัยจะเดินหน้าโดยยืนยันว่าทั้ง ว.ช. สกว. สวทน. จะยังทำงานตามภารกิจ
“เราต้องมองใหม่ เลือกเฉพาะงานเร่งด่วน งานที่มีผลกระทบอย่างแท้จริง เชื่อว่าถ้าเราปรับความรู้สึกจากงานที่เราชอบ แล้วดูว่าตลาดต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นตลาดการค้า ความต้องการของสังคม และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดูดีมานด์และซัพพลาย จะแก้ปัญหาหรือทำให้เกิดประโยชน์ในทางใดบ้าง ทำคนเดียวไหวหรือไม่ แต่เชื่อว่าถ้าทำหลายคนเป็นทีมหรือเครือข่ายน่าจะมีผลสัมฤทธิ์มากกว่า เพราะมีความรู้และประสบการณ์ที่นำมาถ่ายทอดแลกเปลี่ยนทำงานเสริมกันให้เกิดพลังในการขับเคลื่อน การปฏิรูปต้องอาศัยยุทธศาสตร์และเป้าหมายที่ชัดเจน รวมทั้งคน งบประมาณ การปลดล็อคอุปสรรคที่เป็นปัญหา เปรียบเทียบกับสิ่งที่เราถนัดว่าตรงกันหรือไม่ ใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ สร้างคนที่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบวิจัย ในอีก 20 ปีข้างหน้าเราต้องการนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ 60 คนต่อประชากร 1 หมื่นคน แต่ขณะนี้ยังอีกห่างไกลมีเพียง 12-14 คนเท่านั้น”
อีกประเด็นสำคัญคือ งบประมาณ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีระบุว่า นอกจากการสนับสนุนจากภาครัฐแล้ว ยังต้องมีการสนับสนุนจากภาคเอกชนเพิ่มเป็น 70% ในปี 2562 ควรมีงบต่ำสุด 40,000 ล้านบาท งบวิจัยจะได้กระจายตามความต้องการ สนับสนุนการทำงานเป็นทีมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และให้ภาคการศึกษาและชุมชนได้มีโอกาสทำวิจัยด้วย ภาคเอกชนที่มีความสามารถในการชี้เป้าต้องร่วมกำหนดความต้องการของโลก เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ว่าจะอยู่จุดใด จะได้วางแผนการทำวิจัยได้ถูกต้อง มีส่วนร่วมกันตั้งแต่กำหนดโจทย์และงบประมาณ ภาคเอกชนจึงมีส่วนสำคัญมากในการร่วมผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เชื่อว่าจากนี้ไปเราจะร่วมมือกับภาคเอกชนและประชาชนมากขึ้น เราจะมีคณะกรรมการที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่เรียกว่า “คณะกรรมการสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ” ดูแลด้านนโยบาย ซึ่งน่าจะเริ่มขับเคลื่อนได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2561 เป็นต้นไป
“การปฏิรูปเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ชาติและตรงกับความต้องการ โดยไม่ติดเรื่องงบประมาณและกฎหมายต่าง ๆ จะได้รับการปลดล็อคทั้งหมดเพื่อให้คลี่คลายปัญหา นักวิจัยจะได้รับการคุ้มครองสิทธิผลงานวิจัย เมื่อมีการขยายผลต่อนักวิจัยก็จะได้รับผลตอบแทนในระยะยาวตามข้อตกลง เช่น 10ปี 15 ปี หรือ 20 ปี ทำให้คนที่สนใจงานวิจัย วิทยาศาสตร์ นวัตกรรม มีมากขึ้น เราต้องตั้งเป้าระบบวิจัยและนวัตกรรมในระดับโลกเพื่อขับเคลื่อนประเทศให้เกิดความมั่นคง โดยมีเศรษฐกิจ สังคม องค์ความรู้ บุคลากรและเครือข่าย เป็นองค์ประกอบสำคัญ ในการเดินหน้าประเทศไทยให้เกิดความมั่งคงอย่างยั่งยืน”
ด้าน ศ. นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกว. เปิดเผยว่า สกว. ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จัดมอบรางวัลดังกล่าวแก่ 10 นักวิจัยที่มีผลงานโดดเด่น เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ วุฒิเมธีวิจัย สกว. ตลอดจนเมธีวิจัย สกว. และนักวิจัยรุ่นใหม่ ที่มีผลงานวิจัยจากโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สกว. ดีเยี่ยม ทั้งคุณภาพของงานวิจัย ตลอดจนผลกระทบต่อวงวิชาการ เศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจในการพัฒนางานวิจัยที่มีคุณภาพสูงต่อไป โดยนักวิจัยที่ได้รับรางวัลในปีนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 10 ท่านในสาขาต่าง ๆ จาก 7 สถาบัน ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยบูรพา และสถาบันวิทยสิริเมธี นอกจากนี้ สกว. ยังได้ให้ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัย (เมธีวิจัยอาวุโส สกว.) จำนวน 13 ท่าน และศาสตราจารย์วิจัยดีเด่น อีก 4 ท่าน
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบของที่ระลึกแก่ ศาสตราจารย์วิจัยดีเด่น ปี 2560 ประกอบด้วย 1. ศ.ดร.สุดา เกียรติกำจรวงศ์ สาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ของพอลิเมอร์ จาก คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2. ศ.ดร.เกตุ กรุดพันธ์ สาขาเคมีวิเคราะห์ 3. ศ.นพ.สุทัศน์ ฟู่เจริญ สาขาโลหิตวิทยา สังกัด สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล และ4. ศ.ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ สาขามานุษยวิทยา (วัฒนธรรมทางเศรษฐกิจ)สังกัด คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รวมถึงมอบของที่ระลึกผู้ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัย (เมธีวิจัยอาวุโส สกว.) ประจำปี พ.ศ. 2560 ประกอบด้วย 1. ศ.ดร.อรวรรณ ชัยลภากุล สาขาเคมีวิเคราะห์ สังกัด คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2. ศ.ดร.วินิช พรมอารักษ์ สาขาเคมีวัสดุ สังกัด สำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล สถาบันวิทยสิริเมธี 3. ศ.ดร.ชิดชนก เหลือสินทรัพย์ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ สังกัด คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 4. ศ.ดร.นพ.นรัตถพล เจริญพันธุ์ สาขาสรีรวิทยา สังกัด คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 5. ศ.นพ.สมนึก สังฆานุภาพ สาขาอายุรศาสตร์ สังกัด คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล 6. ศ.ดร.ทพญ.สิริพร ฉัตรทิพากร สังกัด คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สาขาประสาทวิทยาศาสตร์ 7. ศ.ดร.สาวิตรี ลิ่มทอง สาขาจุลชีววิทยา สังกัด คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
8. ศ.ดร.พูนสุข ประเสริฐสรรพ์ สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ สังกัด คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 9. ศ.น.สพ. ดร.อลงกร อมรศิลป์ สาขาสัตวแพทยสาธารณสุข สังกัด คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 10. ศ.ดร.ประยุทธ อัครเอกฒาลิน สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า สังกัด คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
11. ศ.ดร.สุจิตรา วงศ์เกษมจิตต์ สาขาวิทยาศาสตร์พอลิเมอร์ สังกัด วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 12. รศ.ดร.รัศมี ชูทรงเดช สาขาโบราณคดี สังกัด คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร 13. ศ.สุวิทย์ ธีรศาศวัต สาขาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ นักวิจัยอิสระ
หลังจากนั้นได้มอบรางวัลแก่ วุฒิเมธีวิจัย สกว. ผู้ได้รับรางวัล 2018 TRF-OHEC-Clarivate Analytics Research Excellence Awards ได้แก่ ศ. ดร.สุจินต์ บุรีรัตน์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จากผลงานการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรมอากาศยานด้วยวิธีเมต้าฮิวริสติกส์ และ รศ. ดร.ชุติมา คูหากาญจน์ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมทางเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จากผลงานการพัฒนาวิธีการสังเคราะห์ทางเคมีอินทรีย์แบบใหม่เพื่อต่อยอดเป็นยารักษาโรคหรือนำไปใช้ในเชิงสังเคราะห์สารประกอบอินทรีย์ชนิดอื่น ๆ
นักวิจัยรุ่นกลางผู้รับรางวัล 2018 TRF-OHEC-Scopus Researcher Awards ได้แก่ 1. รศ. ดร.พญ.อุไรวรรณ พานิช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จากผลงานบทบาทของสารต้านออกซิเดชั่นจากธรรมชาติ (พืชตระกูลกะหล่ำและตำรับสมุนไพรห้ารากสู่การพัฒนาสารยับยั้งความเสื่อมสภาพของผิวหนัง 2. ผศ. ดร.มนตรี สว่างพฤกษ์ สำนักวิทยาการพลังงาน สถาบันวิทยสิริเมธี จากผลงานเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไฟฟ้าชนิดตัวเก็บประจุไฟฟ้าเคมียิ่งยวด
นักวิจัยรุ่นใหม่ผู้รับรางวัล 2018 TRF-OHEC-Scopus Young Researcher Awards ได้แก่ 1. ผศ. ดร.วโรดม เจริญสวรรค์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จากผลงานชีววิทยาระบบเพื่อความเข้าใจและพัฒนาพืชเพื่อรับมือสภาวะโลกร้อน 2. ผศ. ดร.วาสนา ปรัชญาสกุล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากผลงานภาวะอ้วนร่วมกับการพร่องฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งผลเร่งการสูญเสียการเรียนรู้จดจำในเพศหญิง 3. รศ. ดร.วุฒิชัย เอื้อวิทยาศุภร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จากผลงานการสังเคราะห์โมเลกุลนาโนไฮบริดสู่นวัตกรรมวัสดุ 4. ผศ. ดร.ชัชวาล วงศ์ชูสุข คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากผลงานนาโนก๊าซเซนเซอร์เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและสิ่งแวดล้อม
5. ผศ. ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จากผลงานการใช้โฟมที่ปรับเสถียรด้วยอนุภาคแม่เหล็กนาโน ร่วมกับการเหนี่ยวนำความร้อน ทางแม่เหล็ก ไฟฟ้าในการเร่งการฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนสารอินทรีย์ระเหยด้วยวิธีสกัดไอดิน 6. ผศ. ดร.พรรัตน์ แสดงหาญ คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา จากผลงานการจ้างงานผู้สูงอายุในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย