ก.อุตฯชู9มาตรการปิดจุดอ่อนSMEs
ธพว.หลุดแผนฟื้นฟูหนุน “จุลSMEs”
กระทรวงอุตสาหกรรมผนึกธพว.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งเดินหน้าเสริมแกร่ง SMEs กระทรวงอุตสาหกรรมส่ง 9 มาตรการช่วยเหลือ ผ่าน 3 กองทุน วงเงินเกือบ 8 หมื่นล้านบาท ด้านธพว.ประกาศตัวเป็น “M SME Development Bank” หนุนผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ โดยเฉพาะ “จุล SMEs” หลังคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เห็นชอบให้ออกจากแผนฟื้นฟู คาดช่วยเอสเอ็มอี คนตัวเล็ก ได้ราว 7-8 หมื่นราย ตั้งเป้าปี 61 ลดหนี้เสียที่ 15,100 ล้านบาท จาก 16,960 ล้านสิ้นปี60
ดร.สมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมยังคงเป็นหน่วยงานหลักในการช่วยเหลือและพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีเป้าหมายเพื่อยกระดับไปสู่ยุค 4.0 ที่มีศักยภาพ ได้มีการหารือกันว่า มีมาตรการที่เริ่มดำเนินการไปแล้วมีอะไรบ้างเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีทุกกลุ่ม โดยในปี 2561 มีมาตรการช่วยเหลือทางด้านการเงิน เป็นโครงการสินเชื่อใหม่ 3 โครงการ วงเงินรวมกว่า 78,000 ล้านบาท ผนวกกับอีก 9 มาตรการที่เป็นตัวขับเคลื่อนพัฒนาส่งเสริมควบคู่กันไป
“มาตรการช่วยเหลือทางด้านการเงินเริ่มแล้วในไตรมาสแรกของปีนี้ คือ 1.สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) วงเงิน 50,000 ล้านบาท สำหรับเศรษฐกิจฐานราก ที่เน้นกลุ่มเกษตรแปรรูป การท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวชุมชน มีผู้ยื่นขอแล้วมากกว่า 100-200 ราย 2.สินเชื่อเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรระยะที่ 2 (Transformation Loan) วงเงิน 20,000 ล้านบาท ดูแลเอสเอ็มอีที่มีความพร้อม หรือดิจิตอลทรานฟอร์เมชั่น เข้าไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และ 3.ในด้านโครงการฟื้นฟูและเสริมสร้างศักยภาพเอสเอ็มอีคนตัวเล็ก “จุล SMEs” (Micro SMEs) วงเงิน 8,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมมอบให้ธพว.เป็นแม่งานทั้งหมด รวมถึงดูเงื่อนไขสำหรับผู้จดทะเบียนแล้วและยังไม่ได้จดทะเบียน”
สำหรับมาตรการส่งเสริมที่ไม่ใช่ด้านการเงินอีก 9 มาตรการ เพื่อยกระดับเอสเอ็มอีไทย โดยมุ่งเน้นไปที่ “ไมโครเอสเอ็มอี” เพื่อผลักดันรายได้สู่ท้องถิ่นทั่วประเทศ ประกอบด้วย
1.การขยายศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) ทั่วประเทศ 23 แห่ง ซึ่งจะให้บริการเครื่องจักรกลาง และพื้นที่ CoWorking Space เพื่อให้เอสเอ็มอีมีพื้นที่ในการพัฒนาสินค้าต้นแบบใหม่ๆ รวมทั้งการบริการที่ปรึกษาแนะนำเชิงลึก และเชื่อมโยงเครือข่ายองค์กรสนับสนุนต่างๆ
2.ศูนย์สนับสนุนช่วยเหลือเอสเอ็มอี (SME Support & Rescue Center: SSRC) ทำหน้าที่เป็น Front Desk บูรณาการที่ปรึกษา รับคำขอกู้เงิน แก้ไขปัญหาและส่งต่อเอสเอ็มอี โดยจะตั้งศูนย์ให้ได้ 270 แห่งทั่วประเทศที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ศูนย์บริการเอสเอ็มอี (OSS) ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ
3.Train The Coach หรือการสร้างโค้ช เพื่อส่งไปช่วยเหลือเอสเอ็มอี 3 ประเภท ได้แก่ 4.0 Biz Transformer เพื่อเข้าไปช่วยเอสเอ็มอีปรับโมเดลธุรกิจ Tech Expert ช่วยแนะนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมและปูพื้นเทคโนโลยีสู่ยุค 4.0 และ Biz Mentor เป็นที่ปรึกษาแก้ไขปัญหาทั่วไปทางธุรกิจ
4.SME Big Data โดยจัดทำข้อมูลประชากรเอสเอ็มอีของประเทศ ที่สามารถใช้วิเคราะห์โครงสร้างและสถานการณ์เอสเอ็มอีของประเทศผ่าน Data Analytic ทั้งการกระจายตัว ระดับศักยภาพ พร้อมสร้างช่องทางให้ SME เข้าถึงบริการของภาครัฐและเครือข่ายอย่างครบถ้วนทุกที่ทุกเวลา
5.โครงการ Big Brothers หรือโครงการพี่ช่วยน้อง เพื่อเชื่อมต่อเอสเอ็มอีสู่ห่วงโซ่การผลิตระดับโลก โดยจะร่วมมือกับบริษัทและองค์กรชั้นนำระดับประเทศและระดับโลก เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีใน 2 ลักษณะ คือ เป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจพร้อมเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตโลก และการยกระดับเทคโนโลยี ขณะนี้มี Big Brothers ตอบรับเข้าร่วมแล้ว อาทิ ปตท. เอสซีจี เดนโซ่ เดลต้า นิสสัน ฮอนด้า และโตโยต้า
6.Digital Value Chain ผลักดันเอสเอ็มอีสู่ห่วงโซ่การผลิตโลกผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม B2B โดยจะพัฒนาระบบเว็บ T-Good Tech ที่เชื่อมต่อ J-Good Tech ผ่านทางการสนับสนุนของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ของญี่ปุ่น และในอนาคตจะขยายความร่วมมือไปอีกหลายประเทศเริ่มจาก CLMV ด้วย
7. โครงการเสริมแกร่งเอสเอ็มอีรอบรู้การเงิน เป็นการช่วยเหลือพัฒนาเสริมความรู้ด้านการเงินทั้งก่อนกู้และหลังกู้เพื่อให้มีบัญชีที่เป็นระบบ มุ่งเป้าสู่ระบบบัญชีเดียวในอนาคต
8.SME Standard Up ยกระดับเอสเอ็มอีสู่มาตรฐานที่เหมาะสมโดยพัฒนามาตรฐานเฉพาะ (มอก.S) ให้เหมาะสมกับระดับศักยภาพของเอสเอ็มอีและตรงความต้องการของตลาด เริ่มต้นที่กลุ่มสินค้าท่องเที่ยวเป็นลำดับแรก และ
9.การยกระดับเศรษฐกิจฐานชุมชน ผ่านโครงการยกระดับอุตสาหกรรมชุมชนเชื่อมโยงการท่องเที่ยว (CIV 4.0) โดยจะพัฒนาศักยภาพชุมชนค้นหาอัตลักษณ์ชุมชน ทำแผนการพัฒนาและบริหารจัดการอย่างยั่งยืน รวมทั้งผลักดันการแปรรูปผลิตผลการเกษตร ปั้นเอสเอ็มอีเกษตรโดยมีเป้าหมายยกระดับเศรษฐกิจฐานรากชุมชนมีรายได้เพิ่มไม่น้อยกว่า 25%
ขณะที่นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กล่าวว่า ในปี 2561 กสอ. พร้อมเป็นหน่วยหลักในการขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมพัฒนาเอสเอ็มอีทั้ง 9 มาตรการ โดยได้วางแผนกลยุทธ์ เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริม SMEs ในยุค 4.0 ภายใต้แนวคิด 4 TOOLs กับ 1 Strategy ประกอบด้วย 1) IT ให้บริการด้านการพัฒนาระบบข้อมูลและสารสนเทศ 2) Automation การพัฒนาระบบการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ 3) Robot เพื่อลดการใช้แรงงานในกระบวนการผลิต และ 4) Innovation ส่งเสริมและพัฒนาด้านนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม อีกทั้งยังเผย 1 Strategy โดยจะมุ่งพัฒนาการรวมกลุ่มทางอุตสาหกรรม (Cluster) เพื่อต่อยอดของ SMEs ไทยให้เข้มแข็ง โดยกรมฯ ยังคงเดินหน้าให้การส่งเสริมพัฒนาเอสเอ็มอีและร่วมในการขับเคลื่อน SMEs อย่างเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม เห็นได้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมา กรมฯ สามารถดำเนินการโครงการต่างๆ ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ทั้งในส่วนของการสร้างผู้ประกอบการใหม่ การสนับสนุนผู้ประกอบการเดิมมากกว่า 12,000 ราย รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอีกกว่า 3,000 กิจการ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 8,000 ล้านบาท
ด้าน ดร.พสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2561 เห็นชอบให้ ธพว.ออกจากแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรหรือแผนฟื้นฟู เนื่องจากว่าตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาองค์กรดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ 1.ปรับกระบวนการอำนวยสินเชื่อ วงเงินไม่เกิน 15 ล้านบาท โดยมีการ Check & Balance และเพิ่มความคล่องตัวในการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อใหม่คุณภาพดีได้มากขึ้น โดยนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2558-2560 มียอดปล่อยสินเชื่อรวม 98,757 ล้านบาท และยอดเบิกจ่ายสินเชื่อใหม่วงเงินไม่เกิน 15 ล้านบาท รวม 93,995 ล้านบาท ซึ่งในปี 2560 สามารถปล่อยสินเชื่อทั้งหมดได้จำนวนทั้งสิ้น 43,269 ล้านบาท 2.สร้างกระบวนการติดตามลูกหนี้ (Loan Monitoring) โดยจัดตั้งหน่วยงานควบคุมคุณภาพสินเชื่อ ส่งผลให้หนี้ปล่อยใหม่ในปี 2560 ตกชั้นเพียงร้อยละ 0.21 เท่านั้น 3.บริหารจัดการหนี้ NPL ตามแผนฟื้นฟูอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสินเชื่อใหม่ตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2560 ลดลงต่อเนื่อง อยู่ที่ร้อยละ 3.32 , 1.32 และ0.21 ตามลำดับ
4.ดำเนินการตามพันธกิจในการสนับสนุนนโยบายรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการด้านสินเชื่อ อาทิ สินเชื่อ Policy Loan สินเชื่อ SMEs บัญชีเดียว สินเชื่อ SMEs Transformation และกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เป็นต้น 5. ควบคุมค่าใช้จ่ายและต้นทุนเงิน ส่งผลให้ผลการดำเนินงานดีขึ้นและอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ โดยในปี 2560 มีกำไรก่อนตั้งสำรองหนี้เพื่อความมั่นคง กว่า 1,600 ล้านบาท และบริหารจัดการต้นทุนการเงินอยู่ที่ร้อยละ 1.68 ดีกว่าที่กำหนดไว้ ส่งผลให้การจัดอับดับ Credit Rating โดย Fitch Ratings อยู่ในอันดับที่ AAA (tha) และ 6.มุ่งเสริมสร้างจริยธรรม และธรรมาภิบาล ปลูกฝังค่านิยมองค์กรคุณธรรม พร้อมเสริมสร้างระบบการตรวจสอบให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ส่งผลให้ได้รับการประเมินองค์กร ปี 2559 เท่ากับ 5 คะแนนเต็ม (สำรวจโดย NIDA)
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า การออกจากแผนฟื้นฟูฯ แสดงให้เห็นว่า ธพว.มีความสามารถ และประสิทธิภาพที่จะเป็นกลไกขับเคลื่อนยกระดับเศรษฐกิจชุมชนตามนโยบายของรัฐบาลและเพื่อให้ ธพว.ก้าวต่อไปอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ไม่กลับสู่ปัญหาดั่งอดีตที่ผ่านมา
” การออกจากแผนฟื้นฟูธนาคารได้มาพร้อมกับโครงการพัฒนาความสามารถของธพว.ด้วย โดยมติวันที่ 19 ธันวาคม 2560 ได้เพิ่มภารกิจให้ธพว.ทำหน้าที่เป็นหน่วยบริการเคลื่อนที่รถม้าเติมทุนช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งธนาคารมีสาขาทั้งหมด 95 สาขา และจากการให้ธพว.เป็นหน่วยงานหลักดูแลโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน โดยเฉพาะช่วยเหลือ “คนตัวเล็ก” หรือผู้ประกอบการรายเล็ก เพื่อไปตรวจสภาพ ไปดูข้อมูลในชุมชนก่อนให้สินเชื่อ เพราะมีผู้ประกอบการที่ยังขาดเอกสาร ไม่มีบัญชีรายรับรายจ่าย หน่วยบริการเคลื่อนที่จะต้องไปดู รวมถึงข้อมูลความรู้ ข้อมูลที่ต้องการพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่า
โดยพบว่า กลุ่มคนตัวเล็กมีอยู่ประมาณ 1.5 ล้านคนทั่วประเทศ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ธพว.ปล่อยสินเชื่อไปไปประมาณ 100,000 ล้านบาท เฉลี่ย 3.2 ล้านบาทต่อราย คราวนี้จะให้สินเชื่อไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย เป็นการวิ่งเข้าหาและพัฒนาผู้ประกอบการไปด้วย
ขณะที่สัดส่วนหนี้เสียหรือเอ็นพีแอลเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ 3.32% เท่านั้น มั่นใจในกระบวนการปล่อยสินเชื่อที่มีอยู่จะมีความยั่งยืน ขณะที่กรอบกระทรวงการคลังยังเข้มข้น เอ็นพีแอลของสินเชื่อใหม่ต้องไม่เกิน 5% สิ้นปี 2560 อยู่ที่ 16,960 ล้านบาท ส่วนในปี 2561 ตั้งเป้าลดเหลือ 15,100 ล้านบาท ”
ทั้งนี้ธพว.ได้เตรียมแพคเกจสินเชื่อเพื่อรายย่อยวงเงินรวม 70,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) วงเงิน 50,000 ล้านบาท เน้นช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยว ท่องเที่ยวชุมชน และเกษตรแปรรูป วงเงินกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาท 3 ปีแรก คิดอัตราดอกเบี้ย 3%ต่อปี ฟรีค่าธรรมเนียม บสย. 4 ปีแรก 2) โครงการฟื้นฟูและเสริมศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำหรับ SMEs คนตัวเล็ก วงเงิน 8,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเพียง 1% และ
3) สินเชื่อ Factoring วงเงิน 12,000 ล้านบาท กู้ต่อรายไม่เกิน 15 ล้านบาท โดยมีโปรโมชั่น 7:1:0 โดย 7 ตัวแรกคือ พร้อมอนุมัติสินเชื่อภายใน 7 วัน , 1 คือ เบิกจ่ายภายใน 1 วัน และ 0 คือ ฟรีค่าธรรมเนียมเรียกเก็บหนี้ คาดวงเงินสินเชื่อ 70,000 ล้านจะปล่อยกู้ช่วยเอสเอ็มอีได้ราว 70,000-80,000 ราย
ด้านนายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวย้ำว่า “ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 สสว.จะเร่งผลักดัน 4 โครงการหลัก ประกอบด้วย 1) โครงการพัฒนาสู่สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัดในการก้าวสู่ยุค 4.0 2) โครงการส่งเสริมเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเพี่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 3) โครงการส่งเสริมพัฒนาตลาดอิเล็กทรอนิกส์สำหรับ SME และ 4) โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มศักยภาพสู่ตลาดสากล โดยคาดว่าเมื่อสิ้นสุดโครงการจะสร้างผู้ประกอบการที่เข้มแข็งได้ จำนวน 55,642 ราย สร้างรายได้และมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ สสว. ยังเป็นเจ้าภาพโครงการภายใต้มาตรการพิเศษขับเคลื่อนเอสเอ็มอีสู่ยุค 4.0 หลายโครงการเช่น SME Big Data โดยจะเร่งสร้างสังคมผู้ประกอบการผ่านโครงการ “SMEONE” ซึ่งเป็น web portal ที่รวบรวมทุกเรื่องของ SME ครบจบในที่เดียว รวมทั้งโครงการ Train the Coach: Accelerator 4.0 หรือโครงการที่พัฒนาโค้ชหรือที่ปรึกษาด้านธุรกิจและด้านเทคโนโลยี เพื่อเข้าไปช่วย SMEs พัฒนาธุรกิจให้มีการปรับเปลี่ยน (Transform) ให้ทันกับยุค 4.0 ได้ ดังนั้นหาก SMEs ขาดผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อการเปลี่ยนแปลง ธุรกิจก็จะยังคงดำเนินไปภายใต้กรอบความคิดเดิม ธุรกิจจะเสียโอกาสจากพัฒนาการใหม่ๆ และกลายเป็นผู้ล้าหลัง ไม่สามารถแข่งขันได้ในที่สุด โค้ชที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจะเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ทันกับสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุค 4.0 ซึ่งจะมีการดำเนินการทั้งสิ้น 3 ปี ตลอดโครงการ” นายสุวรรณชัยกล่าวทิ้งท้าย
ส่วนนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า สภาเกษตรกรฯ ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และ ธพว. เพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน รวมถึงเป็นตัวกลางประสานหน่วยงานต่างๆ ในการส่งเสริมเกษตรกรทั่วประเทศให้มีรายได้สูงขึ้น และเติบโตอย่างยั่งยืน โดยพัฒนาเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ด้วยการยกระดับอาชีพจากการทำเกษตรแบบดั้งเดิมสู่การใช้ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อแปรรูปเพิ่มมูลค่าผลผลิต และตรงตามความต้องการของตลาด โดยกระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนด้านความรู้ ขณะที่ ธพว.เติมเต็มด้านเงินทุน โดยได้มีการนำร่องที่ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ซึ่งมีการส่งเสริมให้ปลูกไผ่ และต่อยอดด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ถ่านเชื้อเพลิง ไผ่สำหรับใช้ในภาคอุตสาหกรรมเพื่อบริโภค เฟอร์นิเจอร์จากไม้ไผ่ และบ้านจากไม้ไผ่ เป็นต้น ซึ่งแนวคิดดังกล่าว จะขยายผลไปทั่วประเทศ
“ตั้งเป้าว่า ในปี 2561 จะต้องเกิดผู้ประกอบการเอสเอ็มอีภาคเกษตรครอบคลุมอย่างน้อยทุกอำเภอทั่วประเทศ และต่อไปจะมีทุกตำบลและหมู่บ้าน”