พม.จ่ายเงินสงเคราะห์คนชรา
ผนึก45 หน่วยงานนำร่องธนาคารเวลา
รัฐมนตรีว่าการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เป็นประธานแถลงการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมทำพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกัน 45 หน่วยงานนำร่องดำเนินงานธนาคารเวลา ณ ห้องศรีสุริยวงศ์บอลรูม ชั้น 11 โรงแรม ตะวันนา สุรวงศ์ กรุงเทพฯ
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เกิดจากอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2564 ผลกระทบจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่เกิดขึ้น ได้แก่ รูปแบบและขนาดของครัวเรือนไทย มีขนาดเล็กลง ผู้สูงอายุมีแนวโน้มอยู่คนเดียวตามลำพัง ถูกทอดทิ้ง ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู ที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสม รายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ยากจน และมีสภาวการณ์เจ็บป่วย
รัฐบาลตระหนักและให้ความสำคัญกับการดูแลผู้สูงอายุทุกกลุ่ม ทั้งในด้านของการพัฒนาศักยภาพ การคุ้มครองพิทักษ์สิทธิ จึงริเริ่มแนวคิดในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการขับเคลื่อนการดำเนินงานธนาคารเวลาสำหรับการดูแลผู้สูงอายุของประเทศไทย ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๐ นโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลผลักดันเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยอาศัยพลังทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการร่วมกัน เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในชีวิตอันจะนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่นยืน
ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้ริเริ่มแนวคิดริเริ่มแนวคิดในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผสานความร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดแหล่งเงินเข้ากองทุนผู้สูงอายุเพิ่มเติม 2 แหล่งคือ การให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร เรียกเก็บภาษีสรรพสามิตในส่วนที่เกี่ยวกับสินค้าสุราและยาสูบในอัตราร้อยละ 2 แต่ไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ต่อปี และการรณรงค์ให้ผู้สูงอายุที่มีฐานะและไม่เดือดร้อนทางการเงินบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจ่ายเป็นเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติมีอำนาจในการจัดสรรเงินดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารกองทุนเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้จ่ายเงินให้ผู้สูงอายุผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ซึ่งคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุมีมติให้จ่ายเงินในอัตรา ดังนี้
- ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท ต่อปี ได้รับเงินเพิ่มเดือนละ 100 บาท จากเดิมได้รับ 300 บาท รวมเป็น 400 บาท
- ผู้สูงอายุที่มีรายได้เกินกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี ได้รับเงินเพิ่มเดือนละ 50 บาท จากเดิมได้รับ 200 บาท รวมเป็น 250 บาท
โดยจะจ่ายทุกวันที่ 15 ของเดือน เริ่มจ่ายครั้งแรกในวันนี้ คือวันที่ 15 สิงหาคม 2561
สำหรับเดือนนี้จะเป็นการจ่ายเงินสมทบของเดือนกรกฎาคม 2561 ด้วย ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุที่ได้อนุมัติการจ่ายเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 ถึงเดือนมีนาคม 2562 ส่วนในระยะต่อไป คณะกรรมการฯ จะพิจารณาอัตราการจ่ายตามสถานะการเงินของกองทุนฯ อีกครั้ง
ผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถนำบัตรไปกดเงินสดได้ที่ตู้กดเงินอัตโนมัติของธนาคารกรุงไทยทุกสาขา จำนวนเงินที่สามารถกดได้ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 100 บาท โดยไม่มีค่าธรรมเนียม หรือจะนำไปรูดซื้อสินค้าที่ร้านธงฟ้า ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ได้ด้วย สำหรับเงินในส่วนนี้ ผู้สูงอายุที่ใช้เงินไม่หมดในเดือนนั้น สามารถสะสมเงินในบัตร เพื่อเก็บไว้ใช้ในเดือนต่อไปได้
นอกจากนี้ รัฐบาลยังส่งเสริมให้มีการดูแลผู้สูงอายุผ่านการดำเนินงานธนาคารเวลาเพื่อให้การดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง และผู้ให้จะได้รับการตอบแทนตามเวลาที่สะสมไว้ โดยการดำเนินงานธนาคารเวลาสำหรับผู้สูงอายุของประเทศไทย ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2561 ได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยแนวทางปฏิบัติร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่อง การดำเนินงานธนาคารเวลาสำหรับการดูแลผู้สูงอายุไทย โดยมีหน่วยงานที่เข้าร่วมดำเนินการ ได้แก่กรมกิจการผู้สูงอายุ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 45 พื้นที่
สำหรับวันนี้ เป็นการแถลงการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการขับเคลื่อนการดำเนินงานธนาคารเวลาสำหรับการดูแลผู้สูงอายุของประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้บริหารกระทรวงการคลัง ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ผู้สูงอายุ ประชาชนทั่วไป และสื่อมวลชน รวมจำนวน ๒๕๐ คน ภายใต้แนวคิด “๒ ให้ ๒ ได้” ของการจัดงานในวันนี้ คือ “ให้เงิน” ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ “ให้เวลา” ผ่านการดำเนินงานธนาคารเวลาสำหรับการดูแลผู้สูงอายุของประเทศไทย โดยผู้ทำความดี จะ “ได้บุญ” และผู้สูงอายุจะได้รับ “โอกาส” ในการได้รับความช่วยเหลือ
ในตอนท้ายรัฐมนตรีพม.ได้ชื่นชม และขอบคุณทุกภาคส่วน ทุกหน่วยงานที่มีส่วนในการขับเคลื่อนให้การดำเนินการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และขับเคลื่อนการดำเนินงานธนาคารเวลา ตามนโยบายของรัฐบาล เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมุ่งหวังว่ามาตรการดังกล่าว จะทำให้คุณภาพชีวิต ขั้นพื้นฐานของผู้สูงอายที่มีรายได้น้อยดียิ่งขึ้น สามารถดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ