กสิกร ไพรเวทแบงก์รางวัล 4สถาบัน
ปรับกลยุทธลงทุนรับเศรษฐกิจชะลอตัว
KBank Private Banking ประกาศความสำเร็จธุรกิจต่อเนื่องตลอดปี61 ผงาดผู้นำให้บริการไพรเวทแบงกิ้งในไทย ด้วยลูกค้ากว่า 11,000 ราย สินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ทั้งหมดประมาณ 7.5 แสนล้านบาท โตต่อเนื่อง ประกาศเดินหน้าต่อปี 62 พร้อมผนึกกำลังพันธมิตรระดับโลก ลอมบาร์ด โอเดียร์ เป็นปีที่ 4 มอบบริการระดับสากล ทั้งในส่วนของคำแนะนำการลงทุนทั้งในและนอกตลาดทุน รวมถึงบริการด้านอื่นๆ อย่างครบวงจร อีกทั้งปรับกลยุทธ์การลงทุนสอดรับช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ดึงข้อมูล เทคโนโลยี ใช้ร่วมความสามารถของทีมในการจัดการกองทุน ตั้งเป้าปี62 รายได้โต 8%
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจไพรเวทแบงก์ ธนาคารกสิกรไทยในปี 2561 ยังเติบโตต่อเนื่อง แม้ตลาดการลงทุนจะมีความท้าทายเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เห็นได้จากการเติบโตของจำนวนลูกค้าและสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) โดยมีจำนวนลูกค้า 11,000 ราย สินทรัพย์ภายใต้การจัดการทั้งหมดประมาณ 7.5 แสนล้านบาท ซึ่งจำนวนลูกค้าเติบโตขึ้น 8% และ AUM เติบโต 0.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ตลอดปี 2561 KBank Private Banking ไม่หยุดยั้งพัฒนาบริการคำแนะนำ ผลิตภัณฑ์และบริการในทุกมิติ อาทิ ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย เพิ่มทางเลือกการลงทุนให้กับลูกค้า โดยในปีนี้ได้นำเสนอกองทุนใหม่ ซึ่งล้วนเป็นกองทุนที่ลงทุนในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เน้นการกระจายความเสี่ยงและบริหารจัดการความผันผวนอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เช่น กองทุน K–EUSMALL ที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กของยุโรป (ไม่รวมสหราชอาณาจักร) และ กองทุน K–CCTV ที่เน้นลงทุนในหุ้นจีน A–Shares หุ้นจีนที่มีศักยภาพดีและมีแนวโน้มเติบโตสูง พร้อมใช้กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงเพื่อควบคุมความผันผวน นอกจากนี้ ยังมีการออกผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบการคุ้มครองเงินต้น เพื่อให้ลูกค้าคลายความกังวลจากตลาดที่คาดเดาได้ยากในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังให้บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารสินทรัพย์ครอบครัว (Family Wealth Planning Service) ดำเนินการให้ความรู้ คำปรึกษาช่วยวางแผนและดำเนินการตามความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยขยายขอบเขตจากลูกค้าในกรุงเทพฯ ครอบคลุมลูกค้าในภูมิภาค 17 จังหวัดสำคัญทั่วประเทศ ให้บริการลูกค้าได้ประมาณ 550 ราย โดยมีการให้คำแนะนำในเรื่องการจัดการทรัพย์สินในครอบครัวแง่มุมต่างๆ ที่ลูกค้ามีความกังวล ไม่ว่าจะเป็น การจัดทำธรรมนูญครอบครัว การวางแผนโครงสร้างการถือครองทรัพย์สินที่มีประสิทธิภาพ การวางแผนภาษี การวางแผนการส่งต่อทรัพย์สิน เป็นต้น
อีกทั้งให้บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารสินทรัพย์นอกตลาดทุน (Non–capital Market Investment) อาทิ
– Private Equity: Preferred Share ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือภายในธนาคาร ที่แนะนำ (refer) ลูกค้านักลงทุนพบกับเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกการลงทุนมากขึ้น โดยมีส่วนร่วมในการระดมเงินลงทุนได้แล้วกว่า 560 ล้านบาท
– การให้บริการที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยมีลูกค้ากว่า 80 ราย มีความสนในส่งที่ดินในครอบครองมาปรึกษาเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดินจากทีมผู้เชี่ยวชาญ โดยมีจำนวนที่ดินในฐานข้อมูลกว่า 600 แปลง รวมมูลค่ากว่า15,000 ล้านบาท
– Land Loan for Investment เป็นการแนะนำให้ลูกค้าใช้ประโยชน์จากที่ดินในครอบครอง ซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่อง โดยนำมาเป็นหลักประกันสร้างสภาพคล่องเพื่อต่อยอดการลงทุนโดยมีลูกค้าสนใจนำที่ดินมูลค่ากว่า 6 พันล้านบาทเข้าโครงการ คิดเป็นวงเงินสินเชื่อกว่า 3 พันล้านบาท
– ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ออกแบบพิเศษสำหรับลูกค้า Private Banking อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่มีการเชื่อมโยงกับเครื่องมือการลงทุน เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับลูกค้าและผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพที่พัฒนาขึ้นจากความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
บริการไพรเวทแบงกิ้งสำหรับลูกค้าจีน และลูกค้าที่สื่อสารด้วยภาษาจีนเป็นหลักที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่ธนาคารเริ่มรุกบริการไพรเวทแบงก์ลูกค้าจีน อย่างจริงจังเพื่อรองรับลูกค้าชาวจีนที่อาศัยอยู่ในไทย 10 ล้านคน โดยสร้างความเติบโตของจำนวนลูกค้า กว่า 164% AUM เติบโต 47% และรายได้เติบโต 56% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
สำหรับปี 2562 ธนาคารฯ เตรียมมอบคำแนะนำผลิตภัณฑ์และบริการที่จะสร้างความมั่นใจและสบายใจให้กับลูกค้าในภาวะที่จะมีการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนในหลายด้าน ในด้านการลงทุน ธนาคารฯ พร้อมให้คำแนะและผลิตภัณฑ์เพื่อเตรียมความพร้อมให้ลูกค้าก้าวเข้าสู่ปีที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ระยะท้ายของวัฏจักรเศรษฐกิจ (Late cycle)อย่างมั่นใจ พร้อมทั้งเตรียมพัฒนา Global Investment Platform เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ส่วนการบริหารทรัพย์สินด้านอื่นๆ ธนาคารฯ เตรียมโซลูชั่นเพื่อรองรับกฎหมายใหม่ที่กำลังจะออก เพื่อช่วยลูกค้าเตรียมพร้อมและมีแผนการบริหารจัดการและรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น ภาษีที่ดินที่จะบังคับใช้ในปี 2563 และกฎหมายทรัสต์ เป็นต้น นอกจากนี้ ธนาคารฯ จะขยายขอบเขตการให้บริการด้านการให้คำปรึกษาการบริหารทรัพย์สินครอบครัวสู่ลูกค้าในต่างจังหวัดมากขึ้นด้วย และเพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการต่างๆ ที่ธนาคารฯ พัฒนาขึ้นมาได้อย่างสะดวก ธนาคารฯ มีแผนการพัฒนาช่องทางดิจิทัล ซึ่งต่อยอดจากระบบ Core Banking ระดับโลกที่ธนาคารได้เริ่มใช้งานแล้วในปีที่ผ่านมา
นายจิรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2561 ถือเป็นปีที่มีเหตุการณ์สำคัญๆ ที่ส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมากต่อตลาด ไม่ว่าจะเป็น การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งจาก 2 เหตุการณ์ดังกล่าวได้เพิ่มน้ำหนักความกังวลต่อการเติบโตที่ช้าลงของเศรษฐกิจโลก นำโดยสหรัฐฯ เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจฟื้นตัวและเติบโตติดต่อกันเข้าสู่ปีที่ 10 (จากปี 2009) และกำลังเข้าสู่ระยะท้ายของวัฏจักรเศรษฐกิจ (Late cycle)ทำให้ผลตอบแทนในสินทรัพย์ทุกประเภทปรับลดลง
นับจากนี้ ความเสี่ยงสำคัญที่นักลงทุนต้องพิจารณา มี 4 เรื่องหลัก คือ 1) เศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ เข้าสู่จุดอิ่มตัว และประเทศอื่นๆ จะตามมา 2) ความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเพิ่มผันผวนให้ตลาด 3) การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจและการบริโภคสูงขึ้น และ4) กลยุทธ์แข่งขันการเป็นผู้นำโลกในอนาคตระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จะไม่หยุดแค่ข้อพิพาททางการค้า
สำหรับแนวทางการลงทุนที่ ธนาคารฯ จะแนะนำลูกค้าในปี 2562 จะแบ่งลูกค้าเป็น 2กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ลูกค้าที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อภาวะตลาดระยะสั้น ธนาคารฯ จะแนะนำให้สำรองสภาพคล่อง ปรับลดความเสี่ยงการลงทุนให้น้อยลง ให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงในหลายๆ สินทรัพย์ โดยจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีในตลาด เพราะที่ผ่านมาตลาดดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2562 ถือเป็นปีที่ควรเตรียมความพร้อมสำหรับช่วงที่เศรษฐกิจจะขยายตัวช้าลง ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมคือ พันธบัตรระยะยาวทั่วโลก และหุ้นกู้แปลงสภาพ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นในบางภูมิภาคยังน่าลงทุนอยู่
โดยกลยุทธ์ที่เหมาะสมไม่ใช่การลงทุนตรงๆ ตามทิศทางตลาดเช่นในอดีต กลยุทธ์ใหม่ที่จะตอบโจทย์ ได้แก่ การใช้ข้อมูล เทคโนโลยี และความสามารถของทีมจัดการกองทุนในกลยุทธ์ Long/Short (ซื้อและขายสินทรัพย์พร้อมกัน โดยซื้อกลุ่มสินทรัพย์ที่คาดว่าผลตอบแทนจะดีกว่าอีกกลุ่มสินทรัพย์หนึ่งทั้งในตลาดขาขึ้นและลง) หรือสร้างกลไกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการควบคุมความเสี่ยง (Managed Volatility)
สำหรับลูกค้ากลุ่มที่สอง ที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของตลาดระยะสั้นได้ ธนาคารฯ ยังแนะนำให้ลงทุนระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารแนะนำมาโดยตลอด อย่างGlobal Multi Asset ที่จะหาผลิตภัณฑ์มาเพิ่มเติม การจัดตั้งกองทุนที่ลงทุนในกลุ่มหุ้นกู้ที่มีระยะเวลาครบกำหนดใกล้เคียงกันและพอคาดการณ์ผลตอบแทนได้ กองทุน Private Equity ที่ลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพสูงนอกตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก และการลงทุนที่สอดคล้องไปกับธีมการเปลี่ยนแปลงของโลกในระยะยาว เช่น AI, Next Gen Tech, และSmartCity ทั้งนี้ ธนาคารฯ ยังคงเน้นปรัญชาการลงทุน Stay Invested มากกว่าจากจับจังหวะลงทุน (Market Timing)”
นอกเหนือจากบริการด้านการลงทุนและบริหารจัดการทรัพย์สินที่ครบถ้วนทุกความต้องการที่สุดในไทยแล้ว KBank Private Banking ยังให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดปรัชญา “When Your Wish is More Than Wealth” ที่หมายถึง การบริหารจัดการทุกเรื่องราวของชีวิต เพื่อความมั่งคั่งที่สมบูรณ์ ที่ไม่ได้หมายถึงแค่มูลค่าของทรัพย์สิน แต่ยังหมายถึงการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น รวมถึงการต่อยอดและแบ่งปันไปสู่มิติอื่นๆ ผ่าน“PERFECT WEALTH” e-Multimedia Publication ที่ได้รับการถ่ายทอดโดยบุคคลต้นเรื่องซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารฯ จำนวนรวม 15 ท่าน (มี 3 ฉบับ ฉบับละ 5 ท่าน)
สามารถติดตามชมได้ที่ https://www.kasikornbank.com/th/personal/private-banking