สทน.-กฟผ.ลุยเทคโนฯพลาสมา-ฟิวชัน
คาด5ปีเดินเครื่อง ยกระดับแข่งขันไทย
นายพรเทพ นิศามณีพงษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)หรือ สทน. และนายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ (กฟผ.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน ณ ห้องประชุม 201 อาคารสำนักผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีพลาสมา-ฟิวชั่น เตรียมพร้อมสำหรับพลังงานแห่งอนาคต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพลังงานทางเลือก จัดงบ 500 ล้านบาทในความร่วมมือเบื้องต้นระยะ5ปี คาดภายใน3ปี ได้เครื่องต้นแบบโทคาแมค อุปกรณ์กักเก็บพลาสมาด้วยสนามแม่เหล็ก และ5ปีเดินเครื่องเพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทย ปูทางสู่โรงไฟฟ้ารุ่นที่ 3 ที่เป็นพลังงานสะอาดไว้ใช้อย่างยั่งยืน และมีราคาถูกลง แม้เป้าหมายนี้อาจใช้เวลานาน 40-50 ปี
ดร.พรเทพ นิศามณีพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน ) หรือ สทน. กล่าวว่า งานวิจัยและพัฒนาด้านพลาสมาและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชันเป็นศาสตร์ขั้นสูง มีโครงสร้างพื้นฐานด้านอุปกรณ์และเครื่องมือที่มีความทันสมัย ซึ่งจะต้องอาศัยบุคลากรหลายด้านที่มีความเชี่ยวชาญต่างๆ กันมาทำงานร่วมกัน การทำงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในลักษณะบูรณาการระหว่างหน่วยงานจากต่างกระทรวงจึงเป็นสิ่งสำคัญในการผลักดันประเทศให้มีความเจริญทัดเทียมกับนานาประเทศ การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันในครั้งนี้จึงเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญต่อการวิจัยด้านพลาสมาและพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันในประเทศไทย เพื่อเกิดการบูรณาการการกำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์งานวิจัยด้านนี้อย่างจริงจัง
รวมทั้ง เพื่อสนับสนุนการสร้างเครือข่ายนักวิจัยด้านนี้ให้มีการทำงานร่วมกันอย่างมีทิศทางและสามารถตอบสนองความต้องการของภาคการผลิตและภาคอุตสาหกรรม และได้รับการพัฒนาศักยภาพให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ รวมทั้ง เกิดนวัตกรรมเพื่อการใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ จากเทคโนโลยีพลาสมา เช่น การผลิตวัสดุทนความร้อนสูงเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม การใช้เครื่องพลาสมาทางการแพทย์ และการเกษตร เป็นต้น
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระยะ 5 ปีของ สทน. และ กฟผ. มีกรอบความร่วมมือดังนี้
1. ร่วมกันศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน และเทคโนโลยีสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรม เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และงานบริการอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม
2. ร่วมกันดำเนินการและให้การสนับสนุนการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันและเทคโนโลยีสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งในแบบพื้นฐานและการประยุกต์เพื่อยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย
3. ร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเครื่องโทคาแมค (Tokamak) และเครื่องเร่งพลาสมาเชิงเส้น (Plasma Linear Device) ตลอดจนอุปกรณ์สนับสนุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันของประเทศไทย
4. ให้ความร่วมกันมือในการจัดอบรมและถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันแก่บุคลากรของทั้งสองฝ่าย บุคลากรทางการศึกษา เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน
5. ให้ความร่วมกันมือในการสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเสริมสร้างความรู้ในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเฉพาะทางดังกล่าว ตลอดจนเทคโนโลยีสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง
ด้านดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สทน. ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการด้านการพัฒนาเทคโนโลยีฟิวชันและพลาสมา ได้เปิดเผยว่า หลังจาก กฟผ.- สทน. ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน โดยมีงบประมาณราว 500 ล้านบาท ซึ่งการไฟฟ้าจะสนับสนุนเงินงบประมาณจำนวนมากกว่า 200 ล้านเพื่อใช้สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีฟิวชัน นอกจากนี้ กฟผ. จะส่งวิศวกรเข้าร่วมโครงการพัฒนาเครื่องโทคาแมค (Tokamak) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการกักเก็บพลาสมาด้วยสนามแม่เหล็ก และเป็นอุปกรณ์สำคัญในการศึกษาวิจัยเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันซึ่งประเทศจีนมอบให้ประเทศไทย โดยผ่าน สทน.
โดยในช่วงเดือน พ.ค. 2562นี้ ผู้เชี่ยวชาญด้าน ฟิวชันจากจีนจะมาพบปะพูดคุยภาพรวมการดำเนินการทั้งหมดกับทีมงาน ประมาณเดือนมิ.ย. 62 ทาง สทน. กฟผ. และมหาวิทยาลัยเครือข่าย จะส่งทีมงานไปทำงานด้าน Engineering Design ของเครื่อง Tokamak ประมาณ 20 คน โดยจะทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันพลาสมาฟิสิกส์ ประเทศจีน เป็นเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นเริ่มในช่วงเดือน ส.ค.62 ทีมงานทั้งหมดจะเริ่มออกแบบองค์ประกอบต่างๆอย่างละเอียด (Detail Design) หลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการประกอบเครื่องโทคาแมคที่ประเทศจีน
โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 2 ปี ระหว่างนั้น นักวิจัย สทน. กฟผ. และมหาวิทยาลัย ก็จะได้ศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ ไปควบคู่กัน อาทิ พัฒนาระบบ Power Supplier แบบ High Volt ระบบควบคุมและเก็บข้อมูล การพัฒนาวัสดุทนความร้อนสูง พัฒนาระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ พัฒนาระบบวัดสมบัติของพลาสมา และทดสอบเดินเครื่องจนเกิดพลาสมาครั้งแรก (Frist Plasma) หลังจากนั้น จะขนย้ายเครื่องกลับมาติดตั้งที่ สทน. และติดตั้งระบบเสริมต่างๆที่เมืองไทย คาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปี เครื่องโทคาแมคในประเทศไทยจะเริ่มพัฒนาและใช้งานได้จริง
เมื่อมีการศึกษาวิจัยด้านพลาสมาและนิวเคลียร์ฟิวชันอย่างจริงจังแล้ว จะสามารถนำพลาสมาและนิวเคลียร์ฟิวชันไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย อาทิ ในเชิงเกษตรกรรม ด้านอาหารที่มีส่วนช่วยในเรื่องของการฆ่าเชื้อโรคในอาหารและผลิตผลทางการเกษตร ในเชิงการแพทย์ การประยุกต์เทคโนโลยีพลาสมามาไว้ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขอนามัยโดยใช้พลาสมาในการบำบัดแผลติดเชื้อและแผลเรื้อรัง พร้อมช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดเนื้อเยื่อใหม่ หรือการรักษาผิวหน้า การรักษาแผล ตลอดจนถึงการมีส่วนช่วยในเรื่องของการกำจัดขยะและของเสียอีกด้วย
ฝ่ายนายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ (กฟผ.)เปิดเผยว่า ในส่วน กฟผ.เองอาจมีการพัฒนาต่อยอดศึกษาเทคโนโลยีฟิวชัน เป็นแหล่งพลังงานในอนาคตต่อไป โดยตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา กฟผ.มุ่งมั่นพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศให้มีความมั่นคง มีเสถียรภาพและเพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของประชาชน ด้วยการผสมผสานพลังงานที่หลากหลาย และให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติกับหน่วยงานวิจัยภายนอกอยู่เสมอ
สำหรับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชั่น ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจอย่างสูงในหลากหลายประเทศ เป็นแหล่งพลังงานในอนาคตที่มีความสะอาด ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กฟผ.จึงตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้เพื่อเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในด้านเทคโนโลยีฟิวชั่นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อสถานการณ์พลังงานที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน
MOU ครั้งนี้กฟผ.และสนท.จะร่วมมือกันหลายอย่าง อาทิ ร่วมศึกษาพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันเพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม ที่สำคัญยังร่วมกันพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง การจัดอบรมและถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิชาการด้านดังกล่าวแก่บุคลากรทั้ง 2 ฝ่าย ตลอดจนสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเฉพาะทาง รวมถึงร่วมมือกันออกแบบและพัฒนาระบบประกอบของเครื่องโทคาแมค ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการกักเก็บพลาสตมาด้วยสนามแม่เหล็กและใช้ในการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีฟิวชัน โดยผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและการออกแบบระบบไฟฟ้าของกฟผ.กับความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ของสทน. เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันของประเทศต่อไป
ทั้งนี้ในอนาคตอาจพัฒนาไปถึงขั้นที่สามารถนำเทคโนโลฟิวชัน ใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้สำเร็จ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกที่สะอาดและจะทำให้มีค่าใช้จ่ายถูกลงเนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานที่ไม่มีวันหมดเมื่อมีการดูแลตลอดเวลา
“ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการเตรียมพร้อมพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีพลาสมา-ฟิวชั่น เพื่อปูทางสู่พลังงานแห่งอนาคต ซึ่งเทคโนโลยีพลาสมา เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ของพลังงานทางเลือก นอกเหนือจากพลังงานน้ำ พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเป้าหมายนำไปสู่การมีโรงไฟฟ้ารุ่นที่ 3 ได้พลังงานสะอาดมาใช้ ไม่มีวันหมดหากมีการดูแลอย่างดี ทำให้ได้ใช้พลังงานไฟฟ้าในราคาถูกลง โดยขั้นตอนเหล่านี้อาจใช้เวลา 40 -50 ปีก็ได้ ไม่มีใครรู้ แต่ระหว่างนี้เราจะได้องค์ความรู้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหลายด้านเป็นผลพลอยได้ด้วย เช่น ใช้ด้านเกษตร ความงาม และการแพทย์”