สังคมตื่น..บทเรียน ‘พะยูนมาเรียม’
ตอกย้ำ “ทะเลไทย” ต้อง “ไร้ขยะ”
จากการสูญเสียสัตว์ทะเลจากขยะพลาสติกที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น… ล่าสุด เป็น “มาเรียมพะยูนน้อย” หลังเคยเกิดขึ้นกับเต่า หรือวาฬ แสดงให้เห็นว่า ขยะพลาสติกสร้างผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ทะเลและสภาพแวดล้อม ดังนั้นการแก้ปัญหาขยะพลาสติกเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขอย่างครบวงจร ตรงประเด็นและเบ็ดเสร็จทั้งในเชิงนโยบายและปฏิบัติ บนฐานการวิจัยที่พร้อมใช้งาน และสามารถปรับไปตามสภาพปัญหาและพื้นที่ โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมดำเนินการร่วมกันอย่างต่อเนื่องและจริงใจของทุกภาคส่วน ซึ่งปัจจุบันไทยสร้างขยะพลาสติกราว 2 ล้านตันต่อปี มีการกำจัดโดยรีไซเคิลและฝังกลบประมาณ 5 แสนตัน ที่ยังเหลืออยู่ประมาณ 1.5 ล้านตันมี 80% ที่ออกสู่ทะเล
ทั้งนี้สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้จัดแถลงข่าว เรื่อง “พะยูนมาเรียม” “ทะเลไทย” ต้อง “ไร้ขยะ” ขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคม 2562 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ชั้น 2 อาคาร วช.1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายหลังการจบชีวิตอย่างน่าสงสารของพะยูนน้อยมาเรียมเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมี ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศาสตราจารย์ ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ รองศาสตราจารย์ ดร.สัญญา สิริวิทยาปกรณ์ ผู้บริหารจัดการโครงการวิจัย ทะเลไทยไร้ขยะ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และดร.ขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ ผู้อำนวยการยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม วช. ร่วมแถลง โดยมุ่งผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อลดการสูญเสียชีวิตของสัตว์ทะเลจากขยะพลาสติก และสัตว์ทะเลจะได้รับการป้องกันจากอันตรายและผลกระทบจากขยะทะเลในที่สุด” อีกทั้งเพื่อสร้างความร่วมมือและตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวในทุกภาคส่วน
ศ. ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผอ.วช.
ศ.ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นหน่วยงานให้ทุนวิจัยหลักของประเทศและส่งเสริมการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน จึงเป็นหน่วยงานกลางที่ประสาน เชื่อมโยงทุกภาคส่วนมาทำงานร่วมกันบนฐานงานวิจัยเชิงสร้างสรรค์และปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในการลดปัญหาการตกค้างของขยะพลาสติกในทะเล ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นักวิจัยประเมินว่า ไทยสร้างขยะลงทะเลประมาณ 100 ล้านตัน โดย 20-70% เป็นขยะพลาสติกซึ่งใช้เวลาประมาณ 100 ปีในการย่อยสลาย
“การแก้ปัญหาต้องทำหลายอย่าง ซึ่งวช.มีศูนย์วิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและมียุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ต้องทำและมีโครงการวิจัยท้าทายไทยที่จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยไม่มีขยะในทะเล”
จากปัญหาขยะพลาสติกที่เกิดขึ้น วช. ได้ชูประเด็นในการแก้ปัญหาดังกล่าวผ่านการวิจัยและพัฒนาซึ่งต้องดำเนินการใน 5 ประเด็นหลักคือ
1. ผู้ผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับพลาสติกต้องผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ง่ายต่อการจัดการขยะและการนำกลับไปใช้ใหม่ สามารถตรวจสอบเส้นทางวงจรผลิตภัณฑ์ตั้งแต่การผลิตถึงวาระสุดท้ายของพลาสติก โดยร่วมมือกับภาคเอกชนที่ผลิตเม็ดพลาสติก ในปีนี้มีผลิตภัณฑ์ที่ศึกษาแล้วมากกว่า 15 ผลิตภัณฑ์ รวมถึง บรรจุภัณฑ์ หลอด วัสดุก่อสร้าง วัสดุประกอบอาคาร และเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
2. ชุมชนในพื้นที่ทุกจังหวัดที่ติดทะเล จะต้องรู้วิธีจัดการขยะพลาสติกได้ด้วยตนเองและเบ็ดเสร็จในพื้นที่ โดยได้ดำเนินการใน 23 จังหวัดในฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน อาทิ ชายหาดบางแสน แสมสาร เกาะหลีเป๊ะ และเกาะภูเก็ต
3. ต้องมีกระบวนการเก็บและจัดการขยะในทะเลอย่างเป็นระบบในทุกพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่และชุมชน และรู้ตัวเลขขยะพลาสติกในทะเลที่ยังตกค้างอยู่ในพื้นที่ที่สำคัญ โดยมีเป้าหมายลดปริมาณขยะในพื้นที่ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ภายในปีที่หนึ่ง และเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ในปีถัดไป
4. นำขยะพลาสติกมารีไซเคิลโดยไม่เกิดผลกระทบต่อเนื่องต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ โดยเฉพาะการตกค้างในสัตว์ทะเลและสิ่งมีชีวิต
5. ลดการตกค้างของไมโครพลาสติกที่ตกค้างในทะเลและสิ่งมีชีวิตบนฐานจากการวิจัยที่สามารถเทียบมาตรฐานกับนานาชาติได้
โดย 5 ประเด็นดังกล่าวได้บรรจุไว้ใน “โครงการ ทะเลไทยไร้ขยะ” ซึ่งมี รองศาสตราจารย์ ดร.สัญญา สิริวิทยาปกรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้บริหารจัดการโครงการวิจัย โดยได้เริ่มการวิจัยมาเป็นเวลา 6 เดือนภายใต้โครงการวิจัยท้าทายไทย ระยะเวลา 3 ปี เน้นการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนในพื้นที่ มีการประยุกต์องค์ความรู้จากงานวิจัยไปใช้แก้ปัญหาจริงอย่างครบวงจรและยั่งยืน โดย วช. เป็นผู้กำหนดหัวข้อวิจัยและให้การสนับสนุนทุนวิจัย ซึ่งมีแผนงานในภาพรวมประกอบด้วย
1. การจัดการพลาสติกอย่างครบวงจรตั้งแต่การผลิตในระดับต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยได้ทำงานร่วมกับผู้ผลิตในภาคเอกชนในการวางระบบติดตามผลิตภัณฑ์ตั้งแต่การผลิตเม็ดพลาสติกจนถึงปลายทาง เพื่อแก้ไขปัญหาการผลิตผลิตภัณฑ์ การนำไปใช้ และการกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง เพื่อกำจัดปัญหาขยะที่ทิ้งสู่ทะเลจากบนบกในระยะยาวและเป็นการกำจัดปัญหาขยะทะเลจากต้นทาง
2. องค์ความรู้เพื่อขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวตามมาในภายหลัง โดยการทำงานร่วมกับผู้ผลิตและภาคประชาสังคมเพื่อให้เกิดนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีและเชิงสังคม รวมถึง การสร้างผลิตภัณฑ์จากขยะพลาสติก และรีไซเคิลพลาสติกที่ การกำหนดมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของขยะพลาสติกหรือผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการนำมาใช้งานและกำจัด การสร้างเครือข่ายภาคประชาสังคมในพื้นที่เพื่อร่วมกันผลักดันนโยบายและสร้างความตระหนัก รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาผ่านระบบเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
รศ.ดร.สัญญา สิริวิทยาปกรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้บริหารจัดการโครงการวิจัย
3. การวิจัยเพื่อจัดการขยะทะเลตกค้างที่มีขนาดใหญ่จนถึงไมโครพลาสติก(ขนาดเล็กกว่า 5 ม.ม.) โดยการทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมในพื้นที่และหน่วยงานระดับท้องถิ่นเพื่อลดและป้องกันปัญหาขยะตกค้างอย่างยั่งยืน โดยใช้นวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีและเชิงสังคม รวมถึงการสร้างเครือข่าย “นักรักทะเลไทย” เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมผ่านสื่อหลากหลายรวมถึงสื่อสังคมออนไลน์และกิจกรรมต่าง ๆ การนำเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) เพื่อช่วยในการเก็บรวบรวมขยะตกค้าง การกำหนดมาตรฐานการตรวจวิเคราะห์ไมโครพลาสติก เป็นต้น เพื่อลดผลกระทบของขยะพลาสติกตกค้างในทะเลในระยะยาวอย่างยั่งยืน
รองศาสตราจารย์ ดร.สัญญา และ ผศ.ดร.สุชาติ เหลืองประเสริฐ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (หัวหน้าวิจัยแผนใหญ่) ร่วมให้ข้อมูลว่า “การวิจัยได้คัดเลือกพื้นที่จังหวัดติดชายฝั่งทะเล 13 จังหวัดจากทั้งหมด 23 จังหวัด โดยเริ่มทำการวิจัยเป็นเวลา 6 เดือน ทำให้ได้องค์ความรู้ในการจัดการขยะและเกิดเครือข่ายเพื่อทำกิจกรรม รณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม ลดขยะในทะเล
ด้านดร.วิจารณ์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ปัจจุบันไทยสร้างขยะพลาสติกราว 28 ล้านตันต่อปี สำหรับขยะพลาสติก 2 ล้านตันต่อปี ในจำนวนนี้มีการกำจัดโดยรีไซเคิลและฝังกลบประมาณ 5 แสนตัน ที่ยังเหลืออยู่อีกประมาณ 1.5 ล้านตันมี 80% ที่ออกสู่ทะเลที่สร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมในทะเล ทำให้สัตว์ทะเลตาย ขณะที่ไมโครพลาสติกที่มีขนาดต่ำกว่า 5 มิลลิเมตรสามารถสะสมเป็นตะกอนและเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร กระทรวงฯได้ดำเนินการเพื่อลดการใช้พลาสติกโดยไม่จำเป็น ซึ่งมีแผนแล้ว เริ่มได้จากทุกคนจะต้องลดใช้ จากปัจจุบันใช้พลาสติกกันเฉลี่ย 1.1 กิโลกรัม/คน/วัน เชื่อว่า การตายของพะยูนจะช่วยจุดประกายให้มีการแก้ปัญหาร่วมกัน กลายเป็นโจทย์วิจัยเพื่อนำสู่การปฏิบัติต่อไป
ทั้งนี้ทุกฝ่ายมีความเห็นสอดพ้องกันว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การมีจิตสำนึกที่ดีมีความสำคัญ ร่วมกับมีมาตรการด้านกฎระเบียบต่าง ๆออกมา การสร้างความตระหนักให้เรื่องนี้เป็นของทุกคน ทำให้เห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใกล้ตัว ต้องช่วยกันว่า ทำอย่างไรให้ประเทศไทยไร้ขยะ…